คำไว้อาลัย ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช

คุณประดิษฐ์ ดำรงค์วานิชหรือที่ผมเรียกติดปากว่า "เฮียจั๊ว" เป็น ลูกของลุงอายุมากกว่าผมประมาณ ๑๐ ปี นับว่าเป็นญาติสนิท เพราะตระกูล ดำรงค์วานิช,สมบูรณ์ศิริและทรัพย์ไพศาลมีต้นตระกูล เป็นพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน เมื่อประมาณ ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว บรรพบุรุษทั้งสามท่านได้ อพยพ มาจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทย มีครอบครัวเป็นคนไทยและแยกย้ายกันอยู่ คนละจังหวัด ทุกคนต่างประกอบอาชีพค้าขายด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต มัธยัสถ์ และขยันหมั่นเพียร จนมีฐานะเป็นปึกแผ่นด้วยกันหมดทุกคน บรรดาลูกหลาน ทุกคนเกิดในเมืองไทยต่างรับการศึกษาอย่างดี เมื่อมีธรรมเนียมของทางราช การที่ต้องการให้มีการใช้นามสกุล จึงต่างคนต่างขอใช้นามสกุลต่อทางราชการ โดยไม่ได้นัดหมายกัน จึงทำให้ประดูหนึ่งว่าไม่ใช่ญาติกัน แต่พวกเราทุกคน ยังสนิทสนม และ ติดต่อกันอยู่เสมอ
คุณประดิษฐ์หรือเฮียจั๊วสนิทกับพี่ชาย พี่สาวของผมซึ่งอายุรุ่นราว คราวเดียวกัน เท่าที่จำได้เฮียจั๊วเป็นคนใจดี ไปมาหาสู่ญาติ และมีของติดไม้ ติดมือตามธรรมเนียมไทยมาฝากอยู่เสมอ เมื่อผมจบการศึกษา และได้รับการ แต่งตั้งเป็นผู้พิพากษา ซึ่งต้องย้ายออกไปรับราชการต่างจังหวัดประมาณสิบ กว่าปี จึงเหินห่างกันไปบ้าง ต่อเมื่อผมย้ายกลับมารับราชการที่กรุงเทพ จึงได้ มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน เฮียจั๊ว ซึ่งอยู่ กับลูกหลานที่กรุงเทพได้บ่อยขึ้น ผมและ ครอบครัวก็เรียกเฮียจั๊วว่าลุง ลูกๆของเฮียจั๊วซึ่งต่างคนต่างจบการศึกษาชั้นสูง ทุกคน เรียกผมว่าอา จนทำให้พวกเราทุกคนสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ครอบครัว ของเฮียจั๊วนับว่าเป็นครอบครัวตัวอย่าง ซึ่งหาได้ยากใน สังคมปัจจุบัน เอาใจใส่ ดูแลภริยาและบุตรหญิงชายทุกคน ดำรงชีวิตที่เรียบง่ายและปราศจากสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร จนทำให้มีฐานะร่ำรวยในขั้นเศรษฐี และเป็นแบบอย่างให้ บุตรทุกคนมีความประพฤติที่ดีงาม สำเร็จการศึกษาและหน้าที่การงานเป็นที่ ชื่นใจแก่ญาติพี่น้องทุกคน
เมื่อผมได้ทราบข่าวจากศิริโฉมซึ่งเป็นหลานว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว
ทำให้ผมใจหาย ทั้งที่รู้ว่าเจ็บกระเสาะกระแสะมาก่อนแต่ไม่เชื่อว่าจะรวดเร็วนัก เพราะเฮียจั๊วมีบุตรชายเป็นนายแพทย์ถึงสองคน แต่เมื่อนึกว่า เป็นกฎธรรมดา ของโลกที่มีเกิดแล้วต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ไม่มีใครหนีพ้นจึงได้แต่ภาวนาขอ ให้ผลของกรรมดีที่เฮียจั๊วได้สร้างสมมาตลอดชีวิต จงดลบันดาลให้วิญญาณ ของเฮียจั๊วจงสู่สุคติในสรวงสวรรค์ เพื่อปกป้อง คุ้มครองให้ลูกหลานทุกคน อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป
นายวีระ-นางกุหลาบ ทรัพย์ไพศาล

 

อาลัยเฮียประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช
หลานโทรมาบอกว่าคุณพ่อเสียแล้ว คิดว่าเป็นความฝัน เพราะไม่ได้ข่าวว่าเฮียป่วย ปกติจะโทรคุยกับเฮียประจำ ไม่เชื่อว่าเฮียจะอายุสั้น เห็นเฮียดูแลตัวเองอย่างดีและยังมีลูกชายเป็นนายแพทย์ถึง ๒ คน แต่การตาย เป็นของธรรมดา ทุกคนจะหลีกไม่พ้น ช้าหรือเร็วเท่านั้น รู้สึกเสียใจที่เฮียมา ด่วนจากไปเสียก่อน เฮียเป็นพี่ที่ดีมีอะไรก็แนะนำ และยังเป็นตัวเชื่อมโยง พี่น้องที่อยู่ห่างไกลมาแนะนำให้รู้จักกัน บอกว่าเรามาจากต้นตระกูลเดียวกัน ตั้งแต่นี้ต่อไปใครจะมาทำหน้าที่นี้แทนเฮีย เพราะเฮียได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แล้ว ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้ได้กลับมาเป็นพี่น้องกันอีก ขอให้กุศลผลบุญที่เฮีย ได้สร้างมาชั่วชีวิต จงชี้นำให้ดวงวิญญาณของเฮีย ซึ่งเป็นที่รักจงไปสู่สุคติเถิด
จากน้องและหลานทุกคน
บัญชา-สมบุญ บุญชัยวัฒนา

 

คำไว้อาลัย
คุณประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช เป็นญาติสนิทของผม ประกอบอาชีพ สุจริตฐานะมั่นคง สามารถส่งบุตรให้ได้รับการศึกษาจนจบอุดมศึกษาและ ปัจจุบันบุตรประกอบอาชีพรับราชการ แพทย์ ทหาร ตำรวจ เป็นเกียรติวงศ์ ตระกูล คุณประดิษฐ์ ความประพฤติเรียบร้อย โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของ คน ทั่วไป การจากไปจึงเป็นที่อาลัยยิ่งโดย เฉพาะบุตรหลาน ญาติสนิทมิตรสหาย
ขออำนาจผลบุญกุศล และคุณความดีที่คุณประดิษฐ์ได้ กระทำไว้จงเป็นปัจจัยส่งผลให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติในสัมปรายภพชั่วนิรันดร์
พ.ต.ต.บุญส่ง สมบูรณ์ศิริ
ลัดดา สมบูรณ์ศิริ

 

แด่กู๋ ผู้อยู่ในความทรงจำตลอดไป
พวกเราเป็นหลานที่สนิทและใกล้ชิดกับกู๋มาตั้งแต่เด็กกู๋มีพี่ เพียงคนเดียวคือ แม่ มีน้องสาวอีกคนหนึ่งซึ่งก็เป็นโสดและถึงแก่กรรม ไปนานแล้ว กู๋จึงไม่มีหลานที่สนิทอื่นใดอีกนอกจากพวกเรา ซึ่งก็เคยอยู่บ้าน เดียวกับกู๋ตั้งแต่ครั้งกู๋ยังเป็นโสด แม้ต่อมาภายหลัง จะมิได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็ได้ไปมาหาสู่กันและกู๋ก็ให้ความรัก ความเมตตาต่อพวกเราเสมอมา ลูกๆ ของกู๋ทุกคนก็สนิทสนมเหมือนกับเป็นน้องแท้ๆของพวกเรา เพราะเห็นกันมา แต่เล็ก แถมลูกๆของกู๋ทุกคน ยังเรียกแม่ของพวกเราว่าแม่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เมื่อกู๋มีลูกคนหัวปี หมอดูทำนายว่าจะเลี้ยงยาก ให้ยกเป็นลูกคนอื่น กู๋จึงยก ลูกคนหัวปีดังกล่าว คือ หมอธนูชัย ให้เป็นลูกของแม่ น้องๆของหมอธนูชัย ทุกคนก็เลย กลายเป็นลูกของแม่ไปหมด โดยเรียกแม่ของพวกเราว่าแม่ และเรียก พ่อแม่ของตัวเองว่ากู๋กิ๋มตามอย่างหมอธนูชัย กู๋และกิ๋มจึงดูคล้ายเป็น คนไม่มีลูกไป ซึ่งก็ออกจะอาภัพในเรื่องนี้สักหน่อยที่ไม่ถูกเรียกว่า พ่อแม่ (ด้วยวาจา)จากลูกๆ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป
กู๋เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักทดลอง เท่าที่จำได้เมื่อครั้งที่ กู๋ทำธุรกิจผลิตน้ำอัดลมขาย ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า น้ำมะเน็ด กู๋จะมีโอ่งผสม หัวน้ำหวานอยู่หลายใบ กู๋จะทดลองผสมหัวน้ำ หวาน ซึ่งมีน้ำส้ม น้ำครีมโซดา (น้ำเขียว) น้ำสละ (น้ำแดง) น้ำสับปะรด และน้ำซาสี่(คล้ายน้ำเป๊ปซี่โคล่าใน ปัจจุบัน) กู๋จะเวียนชิมหัวน้ำหวานเหล่านี้และปรับปรุงแล้วปรับปรุงอีก เพื่อหาสูตรที่ดีที่สุด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเพราะเจริญรุ่งเรืองดี นอกจากนี้ ธุรกิจหลายอย่างที่กู๋เคยทำมา ต้องอาศัยการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ แทบทั้งสิ้น เช่น ธุรกิจผลิตยาขัดรองเท้า จะต้องทดลองหาสูตรที่จะทำให้ยา ขัดรองเท้ามีคุณภาพดี เป็นที่นิยมของผู้ใช้ ธุรกิจผลิตบุหรี่มวน จะต้องทดลอง ปรุงใบยาเส้นให้มีกลิ่นหอมกลมกล่อมถูกใจผู้สูบเป็นต้น ด้วยอุปนิสัยของการ เป็นนักวิทยาศาสตร์อันเป็นคุณสมบัติประจำตัวของกู่นี้เอง แม้ในช่วงปัจฉิมวัย ซึ่งกู๋มิได้ประกอบอาชีพอะไรแล้ว บ่อยครั้งที่พวกเราไปเยี่ยมกู๋ที่บ้าน เจริญพาสน์ มักได้พบข้าวของเครื่องใช้ของกู๋ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ แปลกๆที่
พวกเราไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งกู๋ได้สนใจซื้อมาใช้ ทำให้พวกเรา รู้สึกทึ่งและนับ ถือในความ ทันสมัยของกู๋มาก
กู๋เป็นนักอ่านหนังสือตัวยงคนหนึ่ง กู๋จะอ่านหนังสือสารพัด ประเภท ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ไปจนถึงตำรับตำราต่างๆ หลายอย่างที่กู๋ อ่านแล้วก็นำไปปฏิบัติ เท่าที่จำได้คือ การทำสมาธิที่เรียกกันในปัจจุบัน แต่กู๋ เรียกการปฏิบัตินี้ว่า การสงบจิต เข้าใจว่าจะเอาศัพท์นี้มาจากหนังสือชื่อ มหัศจรรย์ทางจิต ของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งเคยเห็นกู๋มีอยู่ที่บ้านบางมูลนาก เมื่อก่อนไฟไหม้ตลาดครั้งใหญ่ กู๋เคยสอนพวกเราให้รู้จักการสงบจิต แต่ก็ไม่ เป็นผล เพราะขณะนั้นพวกเราขาดความสนใจในเรื่องนี้ กู๋ได้ปฏิบัติการทำ สงบจิตเสมอมา กู๋เคยพูดว่า ผู้ที่มีพลังจิตเข้มแข็งจนถึงระดับหนึ่งแล้วจะ สามารถเอาชนะสิ่งต่างๆได้ แทบทุกอย่าง แม้กระทั่งโรคภัยไข้เจ็บ ความเชื่อ ของกู๋ในเรื่องนี้คงมีพื้นฐานมาจากการอ่านหนังสือทำนองนี้นั่นเอง แต่พลังจิต ของกู๋คงไม่ถึงระดับนั้น จึงต้องพ่ายแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ อันเป็นปกติวิสัยของ คนทั่วไป ไม่มีผู้ใดขัดขืนได้
กู๋เป็นคนมีเมตตาโดยเฉพาะกับลูกหลาน และผู้ใกล้ชิดแล้ว กู๋จะ คอยเป็นห่วงใย ไต่ถามถึงสุขภาพและความเป็นอยู่เสมอ ตามปกติกู๋ เป็นผู้ที่ สนใจในโภชนาการและอาหารเสริม ได้ศึกษาจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากวารสารเรื่องอาหารและสุขภาพที่กู๋รับอยู่เป็นประจำ กู๋จึงมีความรู้เรื่องเหล่า นี้ดี ประกอบกับกู่ยังมีพลังความรู้ทางด้านนี้อยู่กับตัว คือ หมอธนูชัย ซึ่งเป็น อายุรแพทย์และสนใจในเรื่องโภชนาการด้วย กู๋จึงได้รับความรู้เรื่องโภชนาการ และอาหารเสริม ทั้งโดยตั้งใจและมิได้ตั้งใจอยู่เสมอ เวลาที่พวกเรามาเยี่ยมกู๋ ที่บ้านเจริญพาสน์ จึงมักได้รับความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และบางที ก็ได้รับอาหารเสริมบางอย่าง เป็นของแถม เสมอมา
เมื่อถึงวันที่ ๒ มิถุนายน ของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของ กู๋ ลูกๆของกู๋จะจัดงานวันเกิดให้ กู๋มีความสุขมากในวันนั้น เพราะได้อยู่ท่าม กลางลูกๆหลานๆอย่างพร้อมเพรียง พวกเด็กๆก็มีความสุขและตื่นเต้น เพราะรู้ ว่าวันนั้นจะมีการจับฉลากของขวัญจากคุณปู่ คุณตา(คือกู๋) พวกผู้ใหญ่ที่เป็น ลูกและหลานของกู๋ก็ยินดีที่ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกัน ซึ่งปีหนึ่งจะมีเพียง
โอกาสนี้เท่านั้นที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า ต่อแต่นี้ไปเมื่อขาดกู๋ซึ่ง เป็นเสาหลักและ ศูนย์รวมของญาติสนิทกลุ่มนี้ แล้ว โอกาสเช่นนี้คงเกิดขึ้นอีกได้ยาก
พวกเราได้พบกู๋ครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลจุฬาฯไม่กี่วันก่อนที่กู๋จะ จากโลกนี้ไป กู๋ยังดูสดชื่นและหน้าตาสดใสมีเลือดฝาด วันนั้นกู๋ลุกจากเตียง นอนมานั่งที่เก้าอี้รถเข็นข้างหน้าต่างกระจก ซึ่งเมื่อมองจากชั้น ๑๔ ของตึก ภปร. ที่กู๋พักรักษาตัวอยู่ จะเห็นทิวทัศน์ภายนอกงดงาม นกซึ่งเป็นผู้นอนเฝ้าไข้ กู๋บอกว่า ตอนสายๆทุกวัน กู๋มักชอบนั่งตรงนี้ และนั่งคราวละนานๆ พวกเราเห็น กู๋แล้วก็คิดว่ากู๋คงไม่เป็นไรยังอยู่ต่อไปได้อีกนาน พวกเรายังได้ช่วยเอามือ ลูบไล้ย้อนขึ้นไปตามแขนและขาของกู๋ เพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกเราก็ได้รับข่าวร้ายว่า กู๋เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาล ตำรวจ ทำให้รู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่ากู๋จะจากไปเร็วอย่างนี้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่กู๋เจ็บป่วยครั้งนี้ ทราบว่ากู๋ไม่ได้แสดงอาการว่าทนทุกข์ทรมานจาก การเจ็บปวด เนื่องจากการป่วยไข้แต่อย่างไรจนกระทั่งสิ้นลม จึงนับว่ากู๋เป็น ผู้มีบุญจากไปโดยอาการสงบ เชื่อว่าความเป็นผู้มีจิตใจ ดีงามของกู๋ ประกอบ กับบุญกุศลต่างๆที่กู๋ได้ทำไว้ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ จะส่งผลช่วยให้กู๋ไปสู่สุคติ ในสัมปรายภพ
ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากความทรงจำของพวกเราที่มีต่อกู๋ผู้มี พระคุณและเป็นที่เคารพรัก กู๋ยังอยู่กับพวกเราเสมอ อยู่ในความทรงจำ ของพวกเราตลอดไป
ศรีวรรณ ทิตาราม
ส่งศักดิ์ ทิตาราม
บุญเสริม ทิตาราม

 

คำไว้อาลัย แด่คุณประดิษฐ์
ข้าพเจ้ากับคุณประดิษฐ์รู้จักกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๐ ใน ตอนนั้น คุณประดิษฐ์ทำธุรกิจอยู่ที่อำเภอบางมูลนาก จ.พิจิตร ทุกครั้งที่ลงมา กรุงเทพฯจะต้องแวะมาเยี่ยมเยียนข้าพเจ้าเสมอ
คุณประดิษฐ์เป็นคนตรงไปตรงมา รักความถูกต้อง มีน้ำใจและ จริงใจกับเพื่อนฝูงมาก เกือบครึ่งศตวรรษที่คบหากันมา คุณประดิษฐ์ เปรียบ เสมือนพี่ชายแท้ๆของข้าพเจ้าคนหนึ่ง คุณประดิษฐ์กับอาซ้อทำกิจการเกี่ยวกับ ข้าวที่พิจิตร เมื่อถึงตรุษจีนจะต้องส่งข้าวสารกระสอบใหญ ่จากพิจิตรมาให้ ข้าพเจ้าเสมอ แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของท่านทั้งสอง อาซ้อถึงแก่กรรม เมื่อราวเดือน ๗ ปี ค.ศ. ๑๙๙๑ ตั้งแต่นั้นมา คุณประดิษฐ์์ก็มาพักอยู่บ้านพัก ที่เจริญพาศน์ ซอยวัดสังข์กระจายฝั่งธนบุรี เพื่อใกล้ชิดกับลูกๆ
เมื่อวันที่ ๕ กรฎาคม ๒๕๔๑ ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์แจ้งจากลูก คุณประดิษฐ์์ว่า คุณประดิษฐ์ได้จากข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อว่าเป็น ความจริง เนื่องจากคุณประดิษฐ์เป็นคนที่แข็งแรงมาก แต่ว่าความจริง ย่อมหนี ความจริงไม่พ้น จากความโศกเศร้านับพันนับหมื่นเท่าที่เกิดขึ้น ภายในใจ ข้าพเจ้าจึงขอบันทึกเพื่อร่วมรำลึกและไว้อาลัยแด่ คุณประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช
เจริญ เอื้ออารักษ์พงศ์
เดือน ๙ ปี ค.ศ. ๑๙๙๘

 

อาลัย คุณปู่...ผู้จากไป
ครอบครัวเกียรติสมานเริ่มสานความสัมพันธ์กับทางครอบครัว
ดำรงค์วานิช เมื่อหลานของทั้งสองครอบครัวได้เข้ารับการศึกษาที่ โรงเรียน ศึกษานารี โดยหลานของครอบครัวเกียรติสมานคือ "ปู" และหลานของ ครอบครัวดำรงค์วานิชคือ "นก" ซึ่งนกกับปูได้คบกันเป็นเพื่อนสนิท ครอบครัว ทั้งสองนี้ได้เริ่มไปมาหาสู่กัน เนื่องจากปูกับนกได้ไปเรียนว่ายน้ำที่สระศิวาลัย ซึ่งเป็นหลักสูตรหนึ่งของทางโรงเรียน ทำให้คุณอาของปูและคุณปู่ของนกได้รู้ จักกันและได้ไปมาหาสู่กันจวบจนถึงทุกวันนี้ เมื่อถึงวันเกิดของปู่ พวกเราไป อวยพรวันเกิดเป็นประจำทุกปี มิได้ขาด แต่มาวันนี้ท่านได้จากไปและในการจาก ครั้งนี้เป็นการจาก ชั่วนิรันดร์
สุดท้ายนี้ครอบครัวเกียรติสมานขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุด ต่อการจากไปของคุณปู่ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขอให้ดวงวิญญาณของคุณ ปู่ จงไปสู่สุคติเทอญ
ครอบครัวเกียรติสมาน

 

แด่ คุณปู่... ของข้าพเจ้า
แม้ว่าคุณปู่จะจากไปแล้ว แต่ภาพอดีตเกี่ยวกับตัวท่านยังคง ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าอยู่ไม่รู้เลือน อาจด้วยข้าพเจ้ามีชีวิต ที่ เติบใหญ่มาจากอ้อมอกของ "ปู่" ก็ว่าได้
ตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้จนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครเลยที่ย่างก้าว
เข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าแล้วจะรู้สึกว่าผูกพันและมีแต่ให้อย่างไม่หวังสิ่งใด ตอบแทนเหมือนปู่ นิยามในคำว่ารักของหลายๆคนอาจหมายถึงการเสียสละ การให้ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และหวังว่า.. อาจได้รับผลตอบแทน ไม่ว่าจะ ด้วยคำขอบคุณหรือในรูปแบบต่างๆเหล่านั้น แต่สำหรับ ความรักของปู่ที่มอบให้ แก่ข้าพเจ้านั้น มีมากกว่าสิ่งเหล่านั้นมากนัก เพราะ คือคุณค่าของรักแท้ต่อ หลานสาวของท่านซึ่งมากเกินกว่าจะบรรยายได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้อย่างไม่มีที่ สิ้นสุด การเพียรอบรมสั่งสอนให้ข้าพเจ้า ประพฤติตนเป็นคนดี ซึ่งท่านต้องอด ทนต่อความเขลา รวมถึงความดื้อรั้น เอาแต่ใจตนเองของข้าพเจ้าผู้ซึ่งถือได้ว่า เป็นทะโมนผู้หนึ่งมานักต่อนัก
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่า... ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึก ทึ่งในตัวท่าน ปู่เปรียบเสมือน "ปู่มหัศจรรย์" ที่สามารถอบรมลูกหลาน ให้ได้ดีได้ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นคุณค่าของรักแท้ที่ท่านได้มอบให้ หลายคน อาจเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาเหลือเกิน ที่พ่อ-แม่ ปู่-ย่า พึงมีให้ลูกหลาน แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วในความธรรมดานั้นแฝงไว้ด้วย ความ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ครบถ้วนกระบวนความตามหลัก พรหมวิหาร 4 เหมือนที่พระ พุทธเจ้าท่านได้กล่าวว่า "พ่อแม่เปรียบ เหมือนพรหมของลูก"
ซึ่งจะว่าไปแล้วท่านก็ไม่ต่างไปจากพ่อและแม่ของข้าพเจ้าเลยทีเดียว เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงรู้สึกผูกพันท่านอย่างมากมายมหาศาล เนื่องจากปู่ได้สอนให้ รู้จักคำว่า "มนุษย์" มากกว่าความหมายตามพจนานุกรมที่ซื้อหาได้ตามร้าน หนังสือทั่วไป คำกล่าวทั้งหมดข้างต้นอาจฟังดูเลิศเลอ หากแต่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้า ได้พบเจอในตัวปู่จริงๆ
ข้าพเจ้าประทับใจท่านที่สุดตอนที่ท่านขับรถมอเตอร์ไซด์พาข้าพเจ้า
ไปเที่ยวโพทะเลตั้งแต่ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดียงสา เราไปที่นั่นกันบ่อยๆ และชอบที่จะไป รับประทานบะหมี่ไว ไว กัน เป็นความรู้สึกที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่า ตอนนี้ข้าพเจ้าจะได้ทานอาหารจานอร่อยกับร้านมีชื่อ ดูหรูหรา แต่ก็รู้สึกดีไม่เท่า ไปกินบะหมี่กับปู่ของข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ายังรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวชอบกล ความสุขทางใจนี้มีค่ามากกว่าความสุขทางกายจริงๆ
ปู่ชอบร้องเพลงเล่นกับข้าพเจ้าขณะที่กำลังรดน้ำต้นไม้ก่อนเข้านอน น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าจำบทเพลงนั้นไม่ได้ซะแล้วเนื่องจากยังเล็กอยู่มาก เราช่วย กันร้องเล่นกันอย่างสนุกสนานมาก ปู่ของข้าพเจ้าชอบฟังเพลง เถียน มี่ มี่ มาก เพลงนี้เปิดกันจนข้าพเจ้าร้องได้ทั้งๆที่ไม่รู้จักความหมายของเนื้อเพลง นี้เลย
ข้าพเจ้ายังนึกเสียใจนักที่ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณปู่ได้มากไปกว่า นี้ แต่ก็รู้สึกภูมิใจอยู่บ้างที่ข้าพเจ้าได้ไปนอนเฝ้าไข้ท่านโดยที่ไม่ยอมให้ใครเฝ้า ปู่แทนเลย มีอยู่วันหนึ่งที่อาแหววไปนอนเป็นเพื่อน ข้าพเจ้าก็รู้สึกหายเหงาขึ้น มาบ้าง และไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ออกจากงานโดยบอกว่ามาดูแลคุณปู่ที่บ้าน เจ้านายยังหัวเราะเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าข้าพเจ้าจะทำเช่นนั้นจริงๆ และหาก เวลานี้ผ่านเลยไปแล้วข้าพเจ้าจะรู้สึกเสียใจไปกว่านี้มากมายนัก น่าแปลก ที่นับแต่นั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยตกงานอีกเลย
ตอนที่อยู่โรงพยาบาลจุฬาฯนั้น ข้าพเจ้านึกสงสารปู่มากที่เห็น ท่านถูกเจาะเลือดทั้งเช้าและเย็นทุกวันเพื่อให้คุณหมอวินิจฉัยโรค มีช่วงหนึ่ง ที่พยาบาลพาคุณหมอที่ฝึกงานมาเจาะไขสันหลัง ท่านคงรู้สึกเจ็บมากดิ้นจน พยาบาลต้องให้ข้าพเจ้าช่วยกันจับให้ และปู่ก็ทุบข้าพเจ้า เนื่องจากท่านเจ็บปวด มาก ยิ่งปู่ทุบมากเท่าไรข้าพเจ้ายิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะเจ็บจาก การทุบของปู่ข้าพเจ้าหรอก แต่เพราะข้าพเจ้าจะรู้สึกสงสารปู่ของข้าพเจ้ามาก เหมือนถูกเข็มทะลวงแทงผ่านตัวของข้าพเจ้าด้วยก็ไม่ปาน วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าแอบร้องไห้เหมือนวันที่ ข้าพเจ้าทราบจากโกวโฉมว่าท่านป่วยเป็นโรค อะไร
ข้าพเจ้ายังจำวันที่ความตายได้พรากท่านไปได้ วันนั้นมีลุงหมอ มา เป็นเพื่อนเฝ้าไข้ด้วยที่โรงพยาบาลตำรวจ อาจเป็นวันที่ดูแปลกใน ความรู้สึกของ
ข้าพเจ้า เนื่องจากวันนี้มีลุงหมอมาเป็นเพื่อนเฝ้าไข้ปู่ด้วย และเป็นแบบนี้มาหลาย วันแล้ว โดยที่ข้าพเจ้ามิได้เฉลียวใจมากนัก เมื่อข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงลุงหมอเรียก ข้าพเจ้าตกใจตื่นและเห็นปู่นอนเกร็งอยู่บนเตียง เหตุการณ์ในครั้งนั้นข้าพเจ้าไม่เคยประสบกับตนเองมาก่อน ได้แต่ทำอะไรไม่ ถูกก็หยิบหนังสือสวดมนต์ มาสวดและนวดตัวปู่ไปด้วยเพราะอยากให้ท่าน รู้สึกตัว สักพักข้าพเจ้าเห็นปู่ชักก็เลยเรียกนางพยาบาลและละล่ำละลักโทร. ตามบรรดาญาติทั้งหมดที่พอจะนึกออกได้ในตอนนั้น และแล้วคุณปู่ก็ได้จาก ข้าพเจ้าไป
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าปู่ของข้าพเจ้าต้องไปสถิตบนสรวงสวรรค์ เฝ้า มองพิทักษ์รักษาลูกหลานของท่านทุกคนที่นั่น ที่ซึ่งอีกไม่นานข้าพเจ้า ก็จะไปอยู่ข้างปู่เช่นกัน ไม่นานเกินรอหรอกค่ะคุณปู่
ด้วยรักและอาลัยอย่างที่สุด
ลูกนก
ชัญญา ดำรงค์วานิช

 

แด่ กู๋ ของลูกๆ ปู่ ของหลานๆ
`กู๋' ของลูกๆ `คุณปู่' ของหลานๆ กรกฎาคม ๒๕๓๔ เพิ่งเสีย "กิ๋ม"ไป มีความรู้สึกว่าหลักร่มโพธิ์ร่มไทรเหลือเพียง "กู๋" คุณพ่อที่ลูกทุกคน เรียกกันมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่นึกเลยว่า กรกฎาคม ๒๕๔๑ จะต้องมาเสียกู๋ไป อีกคน กูํพยายามสอนลูกให้มีความเข้มแข็ง หัดสงบจิตให้มีสมาธิ ใช้ปัญญา ที่มีแก้ไขปัญหา ต่อไปไม่มีกู๋แล้วคงต้องเผชิญโลกเผชิญปัญหากันเอง กู๋ชอบ ออกกำลังกายเป็นประจำ เคยบอกเสมอว่าจะมีอายุเป็นร้อยปี กู๋มาเล่นกับ หลานๆทุกวันเสาร์ที่คลินิกแพทย์ซอยพระนคเรศ สะพานเหลือง กลายเป็น "คุณปู่"ของหลานๆ คุณปู่ชอบพาหลานไปกินหอยทอดปากซอยเป็นประจำ หากวันไหนคุณปู่ไม่มาก็จะมีการถามถึงอยากจะหาคุณปู่ แต่บ้านคุณปู่คับแคบ ข้าวของมากมายจึงไม่ค่อยมีใครอยากไป จึงมีความคิดว่าต้องพยายามสร้าง บ้านได้ เพื่อให้คุณปู่มีที่อยู่กว้างขวาง เผื่อว่าใครจะได้มาหาคุณปู่ได้สะดวก คุณปูเป็นที่รักของหลานๆ เพราะคุณปู่ใจดี จัดงานครั้งใดก็จะมีของเล่นมาแจก หลานๆทุกคนเรียก คุณปู่แทน กู๋ ในเวลาต่อมาจนลูกพี่สาวอย่าง โอ๊ด ยังเรียก "คุณตาปู่" วันครอบครัววันหยุดยาวกลางเดือนเมษายน ๒๕๔๑ คุณปู่ยังไป เที่ยวน้ำตกสาริกากับลูกหลานได้ แต่เดือนพฤษภาคม คุณปู่เริ่มเป็นไข้เป็นๆ หายๆ พี่หมอพี่ชายคนโตให้การรักษาอยู่ จน ๒ มิถุนายน ไม่ได้จัดงานวันคล้าย วันเกิด ๗๙ ปีของคุณปู่ ไปเยี่ยมจึงพบว่าคุณปู่เหนื่อยง่ายจึง พามารักษาที่ โรงพยาบาลตำรวจ พบว่าคุณปู่ตอนเป็นไข้จะสั่นมาก เจาะเลือดพบว่ามีเลือด น้อยทุกสายพันธุ์ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด ดูอาการค่อน ข้างแปลกกว่าโรคติดเชื้อธรรมดา จึงพาไปตรวจหาต่อที่โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ ช่วงนี้คุณปู่ดูน่าเวทนามาก เพราะเป็นไข้หนาวสั่นวันละ ๒-๓ ครั้งๆละเกือบ ๖ ชั่วโมง ถูกเจาะเลือดทั้งเช้า เย็น พยาบาลงานเยอะก็รีบทำ งานโครมครามจนน่าตกใจ และยังต้องไปตรวจสารพันชนิด ทั้งเอ็กซ์เรย์ สแกนหัวใจ ช่องท้องและทำคอมพิวเตอร์ เอ็กซ์เรย์ที่ท้อง หัว และปอด ทั้งที่ กำลังมีไข้หนาวสั่น แต่ก็ต้องทำ เพราะคิวยาวจองคิวลำบาก นอกจากนี้ยังถูก
เจาะไขกระดูก ๒ ครั้ง แต่ที่คุณปูปวดมากสุดเห็นจะเป็นเจาะไขสันหลัง ถึงกับร้องขอกลับโรงพยาบาลตำรวจทุกๆวัน ญาติพี่น้องมีความเห็นว่าควรไป พักฟื้นทางด้านจิตใจก่อนที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่ก็พลันรอมาเรื่อยๆ เพราะยัง ตรวจหาสาเหตุของโรคไม่เจอ จนวันศุกร์ปลายสัปดาห์ที่๒ จึงทราบผลจาก การตรวจไขกระดูกครั้งที่สองซึ่งเจาะหาหลายที่ทั้งซ้ายและขวา ท่ามกลาง ความดีใจของหมอผู้รักษาว่าหาโรคเจอแล้ว แต่เป็นความเสียใจของญาติพี่น้อง ที่พบว่าเป็น มะเร็งเซลน้ำเหลือง (Lymphoma , Large cell type) ซึ่งเป็น ชนิดที่ รุนแรงมาก การใช้เคมีรักษามีโอกาสหายน้อยกว่าร้อยละ ๔๐ ในทุกอายุ แต่ถ้าอายุมากๆอย่างคุณปู่ จะทนยาเคมีบำบัดไม่ไหว ซึ่งก็เป็นความจริง พอ เริ่มให้ยาก็เริ่มมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง จนคุณหมอต้องเลื่อนการให้ยา ออกไปก่อน ญาติพี่น้องจึงลงความเห็นว่าจะนำไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลตำรวจ และให้พี่หมอธนูชัยรักษาต่อ ระหว่างอยู่โรงพยาบาลตำรวจอาการตัวเหลือง ของคูณปู่มากขึ้นเรื่อยๆ เกิดภาวะเกลือน้อย กรดในเลือดมากมีความคิดกัน เป็นสองฝ่ายว่าจะพากลับไปโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หรือว่าจะรักษาที่ โรงพยาบาลตำรวจต่อ ในที่ประชุมของบรรดาลูกๆก็เลือกจะรักษาที่โรง พยาบาลตำรวจต่อไป พยายามให้โปรตีน'อัลบูลมิน'เพื่อลดอาการบวม ให้ เลือดเพื่อเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดง ก็พอที่จะรักษาได้ แต่ที่แย่สุดคือเกร็ดเลือด และเม็ดเลือดขาวซึ่งมีจำนวนน้อยมากกว่าปกติเป็นร้อยเท่า คือเกร็ดเลือด มีเพียงสามพัน จากจำนวนปกติที่ควรมีคือสามแสน การเพิ่มปริมาณเกร็ดเลือด ก็มักจะเพิ่มได้ชั่วคราวเพราะเกร็ดเลือดมีชีวิตสั้นมากเพียงไม่กี่วันและ การหาเกร็ดเลือด ยากลำบากมากเพราะต้องแยกจากเลือดนับสิบขวดเพื่อให้ ได้ซักหนึ่งถุง พยายามให้ถึงสิบถุงก็ไม่สามารถเพิ่มปริมาณเกร็ดเลือดได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นการเพิ่มเม็ดเลือดขาวที่จะมาเป็นทหารต่อสู้กับเชื้อโรคไม่สามารถ กระทำได้เลยเพราะเม็ดเลือดขาวที่เป็นทหารของคนอื่นเข้ามาก็จะทำลายเซลปกติ ไปทั้งหมด จึงต้องยอมมีทหารเม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนน้อยลงทุกวันๆศัตรูพวก เชื้อโรคยังคงมีอยู่ เพราะยังตรวจปัสสาวะพบ`สารไนไตรท'ที่ขับออกมา แต่จับตัวไม่ได้ซักที พยายามส่งอาวุธที่ทันสมัยที่สุดพวก`เซฟรอม' ซึ่งเป็น `เซฟฟาโลสาปอลิน' รุ่นที่ ๔ ชนิดล่าที่สุดแต่การขนอาวุธ คงทำได้ลำบาก
เพราะโรงงาน`ตับ' เริ่มวาย การสร้างโปรตีนทำไม่ได้เลย จนในที่สุดก็เกิด ของเสียมากขึ้น เลือดก็เป็นกรดมากขึ้น เกลือในกระแสเลือดก็น้อยลง ทำให้ ทำนบกั้นน้ำ`ออสโมซิส'ในคลองกระแสเลือดทำงานไม่เต็มที่ การให้น้ำทางเส้น เลือดดำพยายามให้น้ำในคลองกระแสเลือดมพอสมควร ทำได้ยากลำบาก เพราะน้ำออกมาข้างนอกคลองหมด ทำให้น้ำน้อยไป มาที่ไตไม่พอจนเกิดอาการ ปัสสาวะไม่ออก เกิดภาวะไตวายและท้ายที่สุดก็หัวใจวายตามมา พยายาม ช่วยกัน"ปั๊ม"หัวใจก็ไม่ขึ้น เสียชีวิตท่ามกลางลูกๆเวลา ๔.๓๐น.ของวันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๑
หลังจากตกแต่งศพคุณปู่แล้วกำลังรอขนย้ายไปนิติเวช มีความ รู้สึกว่าคุณปู่กำลังนอนหลับหายใจเบาๆแต่ไปจับชีพจรฟังหัวใจก็ไม่มีแล้ว ภายหลังได้พูดคุยกันหลายคนก็มีความรู้สึกเช่นนั้น เมื่อได้พาศพไปไว้ที่ นิติเวช แล้ว ได้ติดต่อหาวัดได้วัดตรีทศเทพศาลา๔ และได้นัดเคลื่อนศพเวลา ๑๔.๐๐น. โดยได้นิมนต์พระมานำศพ ๑ รูป ได้จัดทำพิธีรดน้ำศพเวลา ๑๗.๐๐น. และจัดบรรจุใส่โลงเวลา ๑๘.๐๐ น. หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็น คุณปู่อีกเลยนอกจากจะเห็นจากในรูป ตอนจัดสวดพระอภิธรรมเป็น เวลาเจ็ด วัน เวลา ๑๙.๐๐น.
บรรดาญาติที่เคยมาเยี่ยมคุณปู่ได้เห็น การเป็นไข้หนาวสั่น วันละ หลายครั้งๆละหลายๆชั่วโมง ก็พอทำใจได้ว่าคุณปู่พ้นทุกข์ทรมานจากการเจ็บ ไข้ แต่มีญาติหลายคนที่ไม่ได้มาเยี่ยม โดยเฉพาะคนที่คุณปู่เคยมีอุปการะคุณ ส่งเสริมให้ได้เล่าเรียน รู้สึกเศร้าสลดเลียใจต่อการจากไปครั้งนี้ เป็นอันมาก หลายคนพูดว่าทำไมไม่บอก ตอนคุณปู่ไม่สบายจะได้มาเยี่ยม เข้าใจว่าคง อยากได้มาพูดคุยขณะมีชีวิตอยูจะดีกว่าแต่พวกเราก็สงสารว่ามาแล้วจะ เกิดความสลดที่เห็นอาการคุณปู่ตอนเป็นไข้หนาวสั่นหลายๆชั่วโมงและ บางคนมาเยี่ยมเป็นครึ่งวัน ก็ยังไม่ได้พูดคุยกับคุณปู่เลย
ที่สุสานวัด ตรีทศเทพ มีช่องบรรจุทั้งแบบคอนโด ทาวเฮาส์และ บ้านเดี่ยวสำหรับนายพล ศพคุณปู่ได้บรรจุที่บ้านเดี่ยวช่องที่ ๔ พี่น้องได้นัด กันมาไหว้คุณปู่ทุกวันเสาร์ ยกเว้นวันที่ฝนตกหนัก ได้มีความรู้สึกว่าอยู่ใกล้ชิด คุณปู่ แต่ก็ไร้ภาพไร้เสียงคุณปู่ที่เคยเห็นเคยฟัง ต่อไปนี้ไม่มีคุณปู่ คงจะมีก็แต่
ในตัวของแต่ละคน ที่จะรำลึกถึง "คุณปู่ของหลานๆ" "กู๋ของลูกๆ"
ด้วยความรักและอาลัย
พ.ต.อ. นพ.พีระชัย ดำรงค์วานิช
และครอบครัว

 

ระลึกถึงคุณพ่อ
นับแต่จำความได้ ผมและน้องอีก ๒ คน จะได้รับการอบรมจาก คุณพ่อเป็นประจำแทบจะทุกวัน วันละประมาณ ครึ่ง ชม.-๑ ชม. นับเป็นความ ทรมานของเด็กวัย ๗-๘ ขวบ เป็นอย่างยิ่งที่จะมานั่งฟังอย่างสงบได้ ตลอดเวลา บางครั้งก็นานถึง ๒ ชม. โดยสาเหตุใหญ่ๆก็เรื่องทะเลาะกัน เป็นหลัก โดยคุณพ่อจะเริ่มที่สาเหตุการทะเลาะกันและจะมีหลักการที่ใช้ โดยตลอดว่า "พี่ต้องเสียสละให้น้อง" และ "น้องต้องเชื่อฟังพี่ ห้ามสู้พี่โดย เด็ดขาด" หลังจากตัดสินชำระความแล้ว ก็เริ่มอบรม โดยการยกตัวอย่าง ครอบครัวเพื่อนบ้านที่เน้นรายละเอียดทุกตัวละครและเหตุการณ์ สถานการณ์ ที่ใกล้เคียงกับกรณีพิพาท ต่อด้วยนิทาน สุภาษิต และอุทาหรณ์ต่างๆ โดยทุก ครั้งจะมีไม้เรียวคอยกำกับ เพราะเด็กก็ย่อมเป็นเด็กเสมอ บางครั้งก็มีระฆัง ช่วย โดยคุณแม่ใช้ไปทำธุระให้ ถึงเวลาหุงข้าว, ทำกับข้าว, หรือถูบ้าน
แต่สิ่งที่ได้จากการนี้คือ ความมีสมาธิในการฟังอย่างดีเยี่ยม ตลอด เวลาที่เรียนหนังสือเป็นผู้ฟังที่ดีมีความอดทนสูง สามารถฟังการบรรยายต่างๆ ได้ ๒-๓ ชม. โดยไม่รู้สึกเบื่อและจับใจความได้ดี เพราะในขณะอบรมจะมีการ ถามทวนและทำโทษถ้าตอบไม่ได้ คุณพ่อน่าจะเป็นครูคนแรกที่ลูกๆ ต้องเชื่อฟัง แต่ก็เป็นครูที่ดีที่สุด
โดยที่คุณพ่อเป็นผู้สนใจในการทำสมาธิและเห็นประโยชน์จากการ นั้น ทำให้ลูกๆทุกคนจะได้รับการฝึกในการทำสมาธิโดยเรียกว่า "การสงบจิต" มีหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการเป็นคัมภีร์ ผมก็สามารถฝึกได้จนถึงปิติ โดย ก่อนนอนจะต้องทำสมาธิ ๕-๑๐ นาที เสมอหลังการสวดมนต์ จากสมาธินี้เอง ทำให้เป็นคนจับประเด็นคำพูดคนได้เร็วและสามารถโต้ตอบได้กระทัดรัด ไม่อ้อมค้อม บางครั้งก็มีสังหรณ์รู้ล่วงหน้าและอ่านใจคนได้ตั้งแต่ ป.๖ แต่ ตอนหลังๆก็เสื่อมลงตามลำดับ
คุณพ่อเป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องของลูกๆทุกคนอย่างละเอียดรอบคอบ และชอบซื้อของเล่นไฮเทคมากที่สุดในสมัยนั้นให้ลูกๆได้้เล่นกัน ไม่ทำให้ลูกๆ
รู้สึกน้อยหน้าเพื่อนๆ
ในเรื่องการศึกษาคุณพ่อพยายามโน้มน้าวชักจูงให้ลูกๆทุกคน(๖คน) ได้เรียนในสายวิทยาศาสตร์และเป้าหมายสูงสุดคือ การได้เข้าศึกษาในคณะ แพทย์ศาสตร์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ ๒ คน คือ พี่ธนูชัย และน้องพีระชัย, พี่ฉัตรชัย วิศวะเครื่องกล, ฤทธิชัย วิศวไฟฟ้า, พี่ศิริโฉม เภสัช มีแปลกไปคน เดียวคือผมเอง จบทางบัญชีมา และลูกๆทุกคนก็สามารถสำเร็จการศึกษาใน ระดับปริญญาตรีทุกคน นับเป็น ตัวอย่าง และเป็นที่ กล่าวขาน ให้เป็น แบบอย่าง ใน อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ซึ่งในสมัยก่อนก็ไม่สู้จะนิยมส่งลูกไป เรียนไกลๆอย่างกรุงเทพนัก และสมัยนั้นส่วนใหญ่คนเรียนเก่งจะไปเรียนครู ครอบครัวเรานับเป็นตำนานของครอบครัวที่มีลูกได้เรียนปริญญาตรีทุกคนใน ครอบครัวของอำเภอเรา
ผมและลูกๆทุกคนจะสำนึกและจดจำทุกๆสิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ ได้สั่งสอนไว้ทุกๆเรื่อง เพื่ออบรมรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
ด้วยความเคารพรัก
น้อย
พท.ภาณุชัย ดำรงค์วานิช
และครอบครัว

 

คุณพ่อผู้ตั้งนามสกุล "ดำรงค์วานิช"
กู๋ครับ
ตลอดเวลาที่รู้จักเป็นพ่อลูกกันมา ๔๘ ปี ได้พบเห็นกู๋ทั้งในแง่บวก และแง่ลบ เปรียบแล้วกู๋คือขุนช้างมีข้อเด่น ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว ไม่ไป หาเศษหาเลยทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่ข้อเสียคือต้องมีเงิน
กู๋เป็นนักกลอนเคยอ่านกลอนของกู๋ในนามปากกา "ช.ดำรงศักดิ์์" กู๋เขียนได้ไพเราะมาก กิ๋มซึ่งเสียไปแล้วเคยเล่าให้ฟังว่า ในงานแต่งงานของ อาอิงเพื่อนสนิทของกิ๋ม กู๋ซึ่งหลงรักอยู่อกหักดังเป๊าะ ได้วาดรูปเรือสำเภาสวย มากกำลังถูกไฟไหม้ไปให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน หลังจากนั้นกู๋กับกิ๋มซึ่ง ไปงานในฐานะเพื่อนเจ้าสาวก็ได้รู้จักกัน คบหากันต่อไปและได้แต่งงานกัน ในที่สุด ซึ่งกู๋เล่าให้ฟังว่างานแต่งของกู๋กับกิ๋มนับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอำเภอ บางมูลนากในขณะนั้นซึ่งอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในแง่หนึ่งกู๋คือหลานของเล่ากู๋ (นายเหล่ หลีจู) ซึ่งเป็นจ้าวสัวใหญ่ ของพิจิตร พิษณุโลกในขณะนั้น กู๋เล่าว่าเล่ากู๋เหล่เกือบได้ซื้อวังบูรพาทั้งเวิ้ง จากเจ้าสมัยนั้น ซึ่งประกาศขายวังก่อนสงครามตกลงกันที่ราคา ๖๙,๐๐๐บาท (เงินสมัย ๘๐-๘๘) แต่พอกลับมาบางมูลนากเพื่อมารวบรวมเงินก็ถูกมือดีชิง ซื้อตัดหน้าไป
เมื่อตอนเด็กกู๋จัดได้ว่าเป็นคุณพ่อตัวอย่าง กู๋จะรักเด็กมากลูกๆ อยากได้ของเล่นอะไรกู๋จะซื้อหามาให้ ยังจำได้ว่าบ้านเราเป็นบ้านแรกในอำเภอ ที่มีเครื่องบันทึกเสียง AIWA นอกจากนี้กู๋ยังซื้อปากกา ๘ สี กุญแจกลแบบ กดตัวเลข ซึ่งนับเป็นของทันสมัยมากในขณะนั้น โต้งยังจำได้ไม่รู้ลืม ที่กู๋ พาโต้งมากรุงเทพเป็นครั้งแรกช่วงปิดเทอม ป.๓ ในฐานะสอบได้ที่หนึ่งของ ร.ร.อนุบาลบางมูลนาก กู๋พามาเที่ยวอยู่กรุงเทพฯ ถึง ๑๕ วัน ซึ่งนับว่าน่า ประทับใจมากสำหรับเด็กบ้านนอกในขณะนั้น ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง "The Young Ones" ที่ศาลาเฉลิมเขต ดูหนังหลายเรื่องที่เฉลิมไทย ได้ดูละครริวิว โรงละครแถวเยาวราช ตัวเลข ๑๕ วันนี้ อีกหลายสิบปีต่อมา กู๋จะถามและโต้งก็
ตอบคำถามได้ทุกครั้ง เพราะมีความประทับใจมาก ซึ่งกรุงเทพฯสมัยนั้นก็ น่าอยู่กว่าสมัยนี้มากราวฟ้ากับดิน ได้นั่งรถรางแถวเยาวราชเห็นนกนางแอ่น เกาะตามสายไฟฟ้าที่เยาวราช เป็นต้น
ในแง่เลี้ยงลูกนับว่ากู๋กับกิ๋มเป็นพ่อแม่ตัวอย่างที่หาคนเลียนแบบ ได้ยากมาก ผลผลิตของท่านคือ หมอ ๒ (ศิริราช, จุฬา), วิศวะ ๒ (จุฬาทั้งคู่), เภสัช ๑ (มหิดล) และบัญชี ๑ (หอการค้า) ได้ลองสอบถามบรรดาญาติหรือ เพื่อนฝูงว่าลูกเรียนอะไรบ้าง นับว่าน้อยมากที่จะเลียนแบบได้ คำกล่าวที่ว่า "เก่งแล้วโก้แถมถูกด้วย" ยังเป็นความจริงอยู่เสมอ สมัยนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เคยเปรียบให้ฟังว่า จุฬาและมหิดลติด Top Thirty ของสหรัฐ ซึ่งมี มหาวิทยาลัยอยู่สองสามหมื่นแห่ง ในขณะที่พ่อแม่สมัยนี้ลูกเอ็นไม่ติด ก็ส่งไปอเมริกา ค่าเรียนปีละห้าหมื่นเหรียญ ก็ลองคิดดูต้นทุนต่างกันลิบลับ
กิ๋มเคยเล่าให้ฟังว่าสิบกว่าปีแรกที่แต่งงานกัน กู๋เป็นผู้จัดการโรงสี ขณะที่กิ๋มเปิดร้านเย็บเสื้อผ้าเลี้ยงลูกหกคนไปด้วยเป็นช่วงที่กิ๋มมีความสุขมาก แต่พอกู๋ขายโรงสีให้เสี่ยฮ้อไปในราคาเก้าแสนบาท (เสี่ยฮ้อ คือพ่อของพี่เมตตา เจ้าของอัมรินทร์กรุ๊ปและนิตยสาร "แพรว") อารมณ์ของกู๋ก็เปลี่ยนไป รวมทั้ง สรรพนามคนรอบข้างที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปด้วย จาก "เสี่ยจั๊ว" เป็น "เฮียจั๊ว" กู๋จึงเหมือนเสี่ยจมไม่ลง หงุดหงิดบ่อย แต่ข้อดีในเวลานั้นคือกู๋เป็นนักอ่าน กู๋จะเขียนกลอนสักวาไปลงที่ น.ส.พ.สยามรัฐเป็นประจำ เมื่อโต้งโตแล้ว วิญญาณนักกลอนก็เลยติดมาด้วย รวมทั้งกู๋เป่าเม้าท์ออร์แกนได้เพราะมาก ซึ่งโต้งก็เลียนแบบได้แต่ไม่เหมือน
กู๋เป็นนักประดิษฐ์ที่หาตัวจับได้ยาก แต่ขาดความรู้ด้านการจัดการ เคยผลิตยาขัดรองเท้า ตอนหลังโดน KIWI แย่งตลาด เคยผลิตน้ำอัดลม ขายตามตู้รถไฟขายดีมากอยู่พักหนึ่ง โต้งยังเคยแบกลังน้ำอัดลมไปส่งที่รถไฟ มาแล้ว ตอนหลังถูกเป็ปซี่แย่งตลาดไปอีก จำได้น้ำอัดลมยี่ห้อบูรพา ที่กู๋ผลิตอร่อยมาก มีทั้งน้ำดำ (โค้ก), น้ำสระ, น้ำเขียว, น้ำสัม อร่อยมาก
ก็นับว่าเป็นโชคดีของครอบครัว "ดำรงค์วานิช" เมื่อกู๋พลาดเรื่อง ธุรกิจก็ได้กิ๋มแม่ผู้เป็นหญิงเหล็ก ขยันแบบไม่มีใครเหมือน ครอบครัวเราย้าย บ้านมา ๔-๕ ครั้ง แต่บ้านหลังเดิมยังอยู่ครบหมดทุกที่ เคยมีญาติทำธุรกิจเอา
แต่เซ้งตึกผ่านมาหลายปีก็ไม่มีทรัพย์สมบัติสักที กิ๋มเลยแนะนำให้ซื้อตึก พร้อมที่ดินแล้วผ่อนกับธนาคาร ญาติคนนั้นเลยตั้งตัวได้ ยังนับถือกิ๋มจนทุกวันนี้
สุดท้ายโต้งซึ่งกู๋เคยพูดไว้ว่าเป็นลูกที่กู๋อาจจะรักน้อยที่สุดเพราะ ชอบแสดงความเห็นที่ไม่เหมือนกู๋แต่โต้งก็ทำผลงานให้ครอบครัวมากมาย เช่นกัน ก็ขอแสดงความไว้อาลัยให้กู๋ผู้ก่อตั้งนามสกุล เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ถ้าใช้แซ่ ก็ไม่อาจเป็นเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ เฉกเช่นคนจีนทั่วๆไป จะเห็นว่าเป็น คนจีนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มีนา ที่ดิน ญาติทั่วไปจะเห็นว่าแปลกมาก กู๋ผู้เป็นนักกลอน นักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ นักเคมี นักประพันธ์ นักดนตรี และนักธุรกิจ ได้จากพวกเราไปแล้ว เมื่อมีอายุได้ ๗๙ ปี (เสีย ที่หลังกิ๋ม ๗ ปี) ขอแสดงความระลึกถึงกู๋ ต้นตระกูลดำรงค์วานิช ซึ่งลูกหลานจะได้จดจำ และระลึกถึงกู๋อยู่ตลอดไป ขอให้กู๋ไปสู่แดนสุขาวดี ในสัมปรายภพด้วยเถิด
"โต้ง"
นท.ฉัตรชัย ดำรงค์วานิช

 

แด่ กู๋ พ่อผู้ก้าวทันโลกอยู่เสมอ
ตั้งแต่เล็กจนโต ภาพพจน์ของกู๋ในสายตาของลูกๆ คือพ่อผู้หมั่น ศืืกษา หาความรู้ ทันสมัย ก้าวตามทันโลก ผลักดันทางด้านการศืืกษาเล่าเรียน ของลูกๆ และช่างคิด ช่างประดิษฐ์ เมื่อเล็กๆจำได้ว่าสิ่งที่มีมากในบ้านสอง อย่างคือ หนังสือนานาชนิด วารสารประเภทต่างๆ และเครื่องมือช่างหลาก หลาย ลูกๆทุกคนจะได้คุณสมบัติรักการอ่าน และการเป็นช่างซ่อมจากกู๋มาทุก คน การอ่านหนังสือเป็นการเปิดโลกของความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก ยังจำได้ดีถืง ความฝัน และจินตนาการบรรเจิดเมื่อได้อ่านนิยายวิทยาศาสตร์์ของจันตรี ศิริบุญรอด สนุกสนาน เพลิดเพลินกับวารสารเด็ก "ชัยพฤกษ์" ของไทยวัฒนา พานิช ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากหนังสือพืมพ์"สยามรัฐ" มาตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ นับว่ากู๋เป็นคนทันสมัยในด้านการปลูกฝังการศึกษาให้แก่ลูกๆ ตั้งแต่ยังไม่มีการกล่าวถึงความสำคัญของการอ่านเท่าใดนักเลย อีกเรื่องหนึ่ง ที่แสดงถืงความทันสมัยและรอบรู้ของกู๋ คือความรู้เรื่องแคลเซี่ยมช่วยในการ เจริญเติบโตของกระดูกและแคลเซียมมีมากในนม กู๋ได้นำความรู้เรื่องนี้มาปรับ ใช้กับลูกๆเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีที่แล้ว โดยให้ลูกๆดื่มนมทุกวันในปีพ.ศ.๒๔๙๐กว่าๆ หลังสงครามโลกสงบลงใหม่ๆจะไปหานมได้จากที่ใหนไม่ต้องคิดถึงเรื่องนม UHT เลย กู๋เลยไปจ้างแขกรีดนมวัวมาส่งที่บ้าน วันละ ๒ ขวดแม่โขงเป็น ประจำ ต้องนำมาต้มฆ่าเชื้อก่อนแล้วจึงดื่ม ลูกๆเลยได้อานิสงค์์กันถ้วนหน้า เป็นเด็กช่วงสงครามโลกที่สูงเกิน ๑๗๐ ซม.กันเกือบทุกคน นอกจากนิสัยรัก การอ่านแล้ว ลูกๆก็จะติดนิสัยทางช่างจากกู๋มากันทุกคน ถึงแม้นจะเรียนหมอ ก็จะเป็นหมอช่าง เช่นพี่หมอธนูชัยทำพัดลมไอน้ำและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆไว้ ใช้งานเอง หรือหมอจิ๊ดน้องสุดท้อง หมอศัลยกรรมกระดูกที่เดินสายไฟภายใน บ้านเองทำการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องนอนเอง ๆลๆ
ในวัยเด็ก กู๋เป็นเด็กหัวดี สอบได้ที่ ๑-๒ ประจำ และสนใจ ขวนขวายในการเรียนมากแม้ทางบ้านจะไม่ส่งเสริมก็ตาม ก๋ง(เตี่ยของกู๋) เป็นคนจีนที่มาจากจีนแผ่นดินไหญ่ ไม่เห็นความสำคัญของการเรียน แต่จะเน้น ว่าลูกชายคนโตคือกู๋ควรจะออกมาช่วยค้าขายมากกว่าเรียนหนังสือ ก๋งไม่ส่ง
เงินให้เรียน กู๋ต้องดิ้นรนหาเงินเรียนเองที่กรุงเทพๆโดยเป็นครูสอนพิเศษภาษา จีนกลางในตอนกลางวัน ตอนกลางคืืนไปเรียนเพื่อสอบเทียบชั้นมัธยมปลาย (ม.๖) พอสอบเทียบได้ กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ โดนอุบายผู้ใหญ่หลอกว่า คุณยายของกู๋ซื่งเลี้ยงกู๋มาตั้งแต่เล็กๆเจ็บหนักให้ กลับบ้านโดยด่วน แล้วกู๋ก็ถูกกักขังล่ามโซ่เป็นแรมเดือน โครงการเข้ามหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์เลยพับไป เพื่อนอีก ๒ คนจากอำเภอบางมูลนากที่ไป ร่วมทุกข์ร่วมสุข แชร์ค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน เตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัยด้วย กันก็เลยวงแตก กลับบางมูลนาก ไม่ได้เรียนต่อกันทั้งสองคน
ด้วยเหตุนี้ จีงเป็นปมในใจอย่างหนี่งของกู๋ จีงมุ่งมั่นมาส่งเสริมการ ศีกษาของลูกๆทั้ง ๖คนแทน กู๋ตั้งเป้าว่าจะต้องให้เรียนมหาวิทยาลัยกันทุกคน ซี่งกู๋ก็ทำได้สำเร็จตามประสงค์ โดยลูกๆทั้ง ๖ คน เป็นแพทย์ ๒ คน เภสัทช ๑ คน วิศวกร ๒ คน และบัญชีอีก ๑ คน เมื่อนึกถีงว่า พ่อ(คือกู๋) จบ ม.๖ แม่ (คือกิ๋ม) จบม.๓ สามารถส่งให้ลูกๆเรียนมหาวิทยาลัยสำเร็จได้ทั้ง ๖ คน ก็ เป็นภาระอันยิ่งใหญ่และเป็นความสำเร็จของพ่อแม่ที่น่าชื่นชมทีเดียว
สมัยเด็กๆจำได้ว่าถ้าหันเหใช้เวลาไปกับกิจกรรมอย่างอื่นๆมากไป กู๋ก็จะดีงกลับมาสู่การเรียนเสมอ เช่นในขณะที่เรียนอยู่โรงเรียนสตรีประจำ อำเภอ บางครั้งจะถูกเกณฑ์ไปร้อยพวงมาลัยเตรียมต้อนรับข้าราชการที่มา ใหม่หรืออำลาจากกัน ถ้าไปนานเกินกว่า ๒ ชั่วโมง กู๋ก็มักจะให้คนไปตามกลับ บ้านเสมอ อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความเอาใจใส่ในการเรียนของลูกๆ คือกู๋จะส่ง เสริมให้เข้าสอบแข่งขันชิงทุนเรียนดีของจังหวัด ตั้งแต่เรียนจบประถม ๔ ซึ่งทุน นี้จะมีเพียงจังหวัดละ ๑ คน ให้ทุนเรียนตั้งแต่ระดับมัธยม ๑-๘ และมหา วิทยาลัย ซึ่งพี่หมอธนูชัยได้เป็นนักเรียนทุนจังหวัดพิจิตรสมใจกู๋ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และศิริโฉมลูกสาวคนถัดมาได้เป็นในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ถึงแม้นเงินทุนจะ ไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าได้ชื่อเสียง (ระดับมัธยมได้ปีละ ๖๐๐ บาท ระดับมหา วิทยาลัยได้ปีละ ๑๒๐๐ บาท) ซึ่งน้องโต้ง-ฉัตรชัยมักจะเล่าด้วยความภาค ภูมิใจเสมอเมื่อได้เห็นชื่อพี่ทั้งสอง คือ ดช.ธนูชัย และ ดญ.ศิริโฉม ดำรงค์วานิช มีชื่อติดบนบอร์ดนักเรียนทุนจังหวัด
กู๋เป็นผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาแม้นเมื่อเกษียนอายุแล้ว
ได้ย้ายมาอยู่กับลูกๆที่กรุงเทพๆก็ยังเน้นการอ่านเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและ มักมีความรู้ใหม่ๆด้านการแพทย์ทางเลือกมาบอกเล่าแก่ลูกๆที่เป็นแพทย์ เภสัชกร ฟังอยู่เสมอๆ และยังเอื้อเฟื้อไปถึงญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดป็นประจำ นอก จากนี้กู๋ยังเป็นผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอโดยการวิ่งเหยาะๆอยู่กับที่ทุกวัน ในบ้าน ต่อมาจึงได้มาวิ่งบนสายพานแทนโดยพี่หมอธนูชัยดูแลอย่างใกล้ชิด จึงไม่มีใครคาดคิดว่ากู๋จะจากไปเร็วนัก แม้นเมื่ออายุได้ ๗๙ ปี กู๋ก็ยังดูแข็งแรง ดีอยู่ อาจจะมีอาการเจ็บป่วยบ้างตามประสาผู้สูงอายุ ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง จน กระทั่งปี ๒๕๔๑ กู๋ไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง เพลียง่าย แต่ก็ยังออกไปรับประทาน อาหารนอกบ้าน หรือไปพักผ่อนต่างจังหวัดกับลูกๆได้ จนไม่น่าเชื่อว่าจากการ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพียงไม่ถึง ๒ เดือนจะทำให้เสียชีวิตไปได้จาก อาการเพลียง่าย เป็นไข้บ่อยๆของกู๋ อาการเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่ก๊ไม่หาย ขาดสักที จนต่อมาอาการไข้เป็นมากขึ้นจึงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ อาการไข้จะจับเป็นเวลาทุกวัน แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ จึงย้ายไปเข้าโรงพยาบาล จุฬาๆ ซึ่งที่นีี่แพทย์ได้ทำการตรวจด้วยอุปกรณ์และเทคนิคนานาชนิด วันละ ชนิด ๒ ชนิดทุกวันเป็นเวลากว่า ๒ สัปดาห์ จนสภาพร่างกายบอบชำ้จากการ ตรวจอย่างเข็มข้นนั้น คุณหมอทั้งหลายที่รพ.จุฬาๆก็ลงความเห็นว่า กู๋ป่วยเป็น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งสภาพการณ์ขณะนั้น สภาพร่างกายและจิตใจกู๋ยังไม่พร้อมที่จะรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดเลย และ ยังมีใข้สั่นไปทั้งตัวอีกวันละ ๒-๓ ครั้งทุกวัน ตัวก็ยังบวมการรักษาอาการก็ มีแนวทางที่แตกต่างกันหลายอย่าง จนท้ายที่สุดกู๋ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่น่า จะเป็นไปได้เลย แร่ธาตุในร่างกายเสียสมดุลย์ ลูกๆทุกคนงงงันไปหมดกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าจากการเข้ารับการตรวจร่างกายเมื่อ ๒ เดือนที่ แล้วกู๋จะเสียชีวิตลง เหมือนกู๋จะมีลางสังหรณ์ ช่วงที่เข้าโรงพยาบาลจุฬาๆใหม่ๆ กู๋จะปรารภอยู่เสมอทำนองว่าเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้กู๋คงจะไม่ได้กลับออกไปอีก ซึ่งตอนนั้นแม้นโฉมจะหนักใจอยู่มาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปตามที่กู๋พูด ยังได้ปลอบใจกู๋อย่างแข็งขัน แต่ท้ายสุดก็เป็นจริงดังที่กู๋กลัว อย่างไรก็ตามแต่ มองในอีกแง่หนึ่งกู๋ก็ไม่ต้องทรมานกับการรักษาโรคมะเร็ง ไม่ต้องทรมาณกับ ผลข้างเคียงของเคมีบำบัด ซึ่งเป็นทางเลือกเพียงประการเดียวของการรักษา
โดยที่แนวทางการแพทย์ทางเลือกที่ได้ศึกษามาเป็นไปได้น้อยมาก สำหรับ สภาพร่างกายกู๋ในขณะนั้น จึงต้องพยายามหักห้ามใจว่ากู๋ได้ไปสบายแล้ว กู๋ ดำรงชีวิตมาอย่างดีที่สุดแล้ว อายุ ๗๙ ปีก็พอสมควรแล้ว ได้อยู่ดำรงชีวิตอยู่ใน ขณะที่ความจำยังดีอยู่ ได้เห็นความสำเร็จของลูกๆและการเจริญเติบโตของ หลานๆ แม้จะมีการทรมาณบ้างก็เป็นเพียงไม่กี่เดือนหลังของการรักษา จึงขอ ให้กู๋สบายใจเถิดว่าชีวิตกู๋สิ่งที่กู๋ได้สร้างสรรค์มาแด่ลูกๆหลานๆจะจารึกอยู่ในความ ทรงจำของลูกและหลานตลอดไป ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความรักความ กรุณาที่มีต่อลูกหลาน ของเล่นต่างๆแปลกๆทันสมัย แม้ราคาไม่แพง หลานๆ ทุกคนยังรำลึกอยู่ไม่มีวันลืม รวมทั้งลูกๆยังจำได้ดีถึงวันคืนในอดีต ถึงความ รู้สึกที่กู๋เป็นผู้นำพาความสนุกสนาน ความทันสมัยมาให้ ในรูปแบบของของเล่น `จานบินไฟวับแวม' ที่เล่นกันยามค่ำคืน ถังไม้ปั่นไอศรีมกินกันเอง เมื่อคราวกึ่ง พุทธกาล(๒๕๐๐) ลูกๆจะเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำตลอดไป และจะ พยายามจะสร้างลูกหลานรุ่นต่อไปให้ได้ตามแบบที่กู๋สร้างมา ขอให้บุญกุศล ต่างๆมี่กู๋สร้างสมมาจงช่วยส่งดวงวิญญาณของกู๋ให้ไปสู่สุคติในสัมปรายภพ ด้วยเทอญ
ศิริโฉม (ดำรงค์วานิช) ยิ้มศิริกุล
เชี่ยวเวทย์ ยิ้มศิริกุล
สัมปชัญญ์ ยิ้มศิริกุล
ธิตินันท์ ยิ้มศิริกุล
ธีรภัทร ยิ้มศิริกุล


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.