วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ข้าพเจ้าชื่อประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช เกิดปี 2462 อายุขณะนี้ 77 ปี ต่อไปนี้เป็น การบันทึก ในช่วงหนึ่งของชีวิตเราเมื่ออายุได้ 9 ปี

ตอน01 "เห่ออยากไปเมืองจีน"

เมื่อเราเริ่มอายุได้ 9 ขวบ จะเป็นปีเดือนใดจำเกือบไม่ได้ แล้ว(บ้านเกิดของเราอยู่ บางมูลนาก จ.พิจิตร) แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง บิดาเรา เรียกว่า"อาเตีย"ปกติท่านมิได้เอาอกเอาใจใส่ในตัวเรามาก นัก รักนะรักข้าพเจ้ามาก แต่ทว่าก็ไม่ได้เอาใจใส่เอาอกเอาใจ ข้าพเจ้ามากนัก แต่อยู่มาวันหนึ่งชวนเราลงไปพายเรือซึ่งเป็นหน้า น้ำ ซึ่งคนอื่นไม่ได้ไปมีเราสองคน พ่อลูกเท่านั้น แกก็ได้สาธยายถึง เมืองจีนว่า เมืองจีนมีน้ำให้เล่นทั้งปี แม่น้ำเขาไม่เหือดหาย เราก็บอก ว่าแม่น้ำเราก็ไม่เหือดหาย เพียงแต่หน้าน้ำล้นตลิ่ง หน้าแล้งยุบลง ไปจนกระทั่งเดินข้ามแม่น้ำได้ อาเตียบอกไม่เหมือนกัน แม่น้ำเมืองจีน เป็นบ้านเกิดของอาเตียแกน้ำจะเต็มฝั่งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการ แข่งเรือจะแข่งได้ทั้งปีเลย ซึ่งบ้านเราจะแข่งได้เฉพาะหน้าน้ำหลาก เท่านั้น หน้าธรรมดาเขาก็ ไม่แข่งกันแต่เมืองจีนแข่งเรือกันได้ตลอด เวลาที่ต้องการแข่ง เทศกาลแข่งเรือเมืองจีนมี 3-4 ครั้งต่อปี นับว่าสนุก มากที่สุด คนล้นหลามมาชมการแข่งเรือกัน หมู่บ้านอื่นๆก็พยายาม มาดูมาชมกันมาก คนเหมือนกับหนอนเลย คนใช่ว่าจะมีน้อย เหมือนบ้านเรา คนมีมากพอมีงานอะไรหน่อยมาชมกัน สองฟาก ฝั่งแน่นไปหมดเลย และแม่น้ำนั้นก็เต็มฝั่งอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันเหือด แห้ง นี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของเมืองจีน อาเตียเราบอกว่า วิเศษสุดซึ่งเมืองไทยไม่มี หน้าแล้งก็แล้งจนเดินข้ามได้ หน้าน้ำก็ ล้นฝั่ง ซึ่งผิดกับเมืองจีนเป็นแม่น้ำที่วิเศษสุด การพายเรือ เที่ยวเล่นก็ เหมือนกัน การพายเรือเที่ยวเล่นของเมืองไทยเราจะพายได้เมื่อฤดูน้ำ หลากเท่านั้น เองที่ไปเที่ยวกันได้ ซี่งปีหนี่งจะมีประมาณ 1-3 เดือน (เฉพาะเมืองบางมูลนาก จ.พิจิตร ซึ่งเป็น บ้านเกิดของเรา เท่านั้น) แล้วแต่น้ำมากน้ำน้อย ถ้าน้ำมากก็อาจจะ ถึงเกือบ 3 เดือน ถ้าน้ำ น้อยบางทีไม่ถึง 1 เดือน น้ำล้นฝั่งก็เหือดแห้งไปแล้ว น้ำล้นเข้าฝั่ง อย่างที่อาเตียพาเราไปเล่นเรืออย่างนี้น่ะ ซึ่งผิดกับเมืองจีน พายเรือเที่ยวเล่นได้ทั้งปีเพราะแม่น้ำเต็มฝั่งอยู่ตลอดเวลา นี่เป็น ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของเมืองจีน อาเตียพยายามพูดถึงความ วิเศษสุดของเมืองจีนให้เราฟังอยู่ทุกวันทุกวัน โดยเฉพาะผลไม้ เมืองจีน อาเตียก็พยายามพูดเสียวิเศษสุดเลย ซึ่งรสชาติวิเศษกว่า เมืองไทยมากมาย เมืองไทยเรานี่รสชาติของผลไม้สู้เมืองจีนไม่ได้   ซึ่งผลไม้มีอะไรบ้างล่ะ อาเตียพยายามเล่าให้ฟังว่ามี"อั่งไส" อั่งไส เมื่อดิบๆจะเรียก "แชไส" กินแล้วจะกรอบฉ่าเลย ทั้งหวานทั้งกรอบ อร่อยเหาะเลย ซึ่งเมื่อสุก ก็จะนิ่มเหมือนมะม่วงเราที่นิ่มอย่างนั้น แต่ ว่ารสชาติดีกว่าเรามากมาย นักและมีเมล็ดเล็กๆ ซึ่งเมืองไทยเราที่เห็น กันอยู่ก็เฉพาะเขาเอามาตากแห้ง เป็นไส้เปี๊ยะให้เรากิน อย่างที่เอามา ใส่กับน้ำเต้าหู้ภาษาไทยเรียกลูกพลับแห้ง อย่างที่อาเตียซื้อให้กิน อย่างนี้แหละ นี่คืออั่งไสแล้วยังมี "ลูกท้อ" อีก ลูกท้อที่สวยดูรูปซิอาเตียพยายามให้ดูลูกท้อลูกใหญ่ สวยเหลือเกินเลยข้างบนสีเขียว ข้างล่างสีแดงเหมือนกับสาวๆทาแก้มแดงๆ ดูแล้วสวยสดเหลือ เกิน แล้วยังมีลี๊เท่านี้เท่านี้พยายามอธิบายให้เราเข้าใจ ซึ่งเราก็ไม่ สามารถเข้าใจได้เพราะไม่เคยเห็นลูกท้อลูกลี๊เลยในขณะนั้น เห็น แต่ไส้เปี๊ยะ (ลูกพลับแห้ง)อย่างเดียว ที่เขาเอามาใส่กินกับน้ำเต้าหู้ ยังมี "เน่ย ก๊วย" สมัยก่อนยังมีมาจากเมืองจีน ปีหนึ่งจะมีมาหน้า เดียว ซึ่งคนจนอย่างเราดูแต่เขากินกันไม่เคยที่จะซื้อมากินเองเลย เพราะราคาสูงมาก "เน่ยก๊วย"ก็คือลิ้นจี่ดอง แต่สมัยนี้ลิ้นจี่สดเมือง ไทยพอปลูกได้ ราคาก็ไม่แพงนัก โดยเฉพาะที่วิเศษสุดของอาเตีย เราที่มาพูด ก็คือ ฮงกั่วะ คือมันเทศซึ่งจะมีให้กินทั้งปีเลย มันเทศ เอาไปเผาไฟสักหน่อยกลิ่นหอมกรุ่นอร่อยเหลือเกินอาเตียเราพยายาม พูด ซึ่งจะมีกินทั้งปีเลย เป็นอาหารของเมืองจีนและเป็นอาหารสำหรับ คนจนแล้ว ยังข้าวโพด อีกมีขายทุกวันขอให้มีเงินซื้อเถอะ มันเทศ มันแกว มีให้กิน 3 อย่างนี้มีให้กินอย่างเหลือเฟือ เป็นอาหารสำหรับ คนจนแท้ๆ อาเตียพยายามคุยให้ฟังอย่างเลอเลิศว่าเมืองจีนมีดี อย่างไรและพยายามเอานิทานเมืองจีนมาเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะหมด ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะจดจำ ได้ เพราะสมัยนั้นยังเด็กมากนัก บางวัน ก็มาคุยให้ฟังว่ามีลูกนก พร้อมที่จะให้จับอยู่บนต้นไม้ ถ้าเราปีนต้น ไม้ได้(เล็กๆเราชอบปีนอยู่แล้ว ปีนป่ายนี่ชอบเหลือเกินเลย) จึงรู้สึก ว่าตื่นเต้นอยากจะไปจับลูกนกเล่นบนต้นไม้ ตลอดเวลาที่เราต้อง การ และต้นไม้ก็มีวิเศษที่สุดคือลูกมันเหมือนกับลูกบอลเรานี่แหละ มันตกลงมาดังโป้งแล้วมันก็กระเด้งไปสูง เราเอามาขว้างเล่นได้มัน ไม่แตกเหมือนกับลูกยางเราอย่างงี้เลย ซึ่งมันเก็บไว้ไม่ได้นาน เก็บ ไว้นานมันก็จะเสียคุณภาพ มันก็จะสนุกต่อเมื่อเล่นใหม่ๆเท่านั้น (เล่นได้กับเสีย) แต่ว่าบนต้นมันก็จะมีลูกระโยงระยาง ให้เราขึ้นไป เก็บได้ตลอดเวลา ซึ่งคนจีนขณะนั้นเรียกว่า อั่งเพากิ้ว ขณะนั้นเรา ก็จำไม่ได้ว่าเรียกอะไรจนกระทั่งไปเมืองจีนเราถึงรู้ แล้วก็หอยอีก อย่างหนึ่งหอยขม ซึ่งคนจีนเรียกว่า ฉั่งล้อ ขณะนั้นเราก็จำไม่ได้ว่า เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่าเป็นหอยนา ชั้งแปลว่านา ลักษณะมันก็เหมือน หอยขมบ้านเราจะมีให้กินได้ตลอดทั้งปี อย่างที่ใครๆว่าเมืองจีนอด ไม่จริงไม่อดหรอก อาเตียว่าหอยเนี่ยขอให้เราขยันไปงมได้ตลอด เวลามีให้งมไปตลอดทั้งปีเลยตามที่เราต้องการ แล้วอากาศก็ยังดีที่ สุดอีกด้วย อากาศเมืองจีนเย็นอยู่ตลอดเลยหาเหงื่อไม่ได้ ซึ่งตอน เล็กๆเราชอบหน้าหนาวที่สุด หน้าร้อนงี้เต็มไปด้วยความกระวน กระวาย ซึ่งผิดกับเมื่อตอนแก่นี่กลัวหน้าหนาวที่สุดเลย ส่วนหน้า ร้อนนี่ไม่เป็นไรเพราะมีพัดมาพัดให้ลมบรรเทาได้ ซึ่งขณะนั้น ชนบทเล็กๆยังไม่มี พัดลมไฟฟ้าหรือพัดลมไอน้ำเสมือนปัจจุบัน เรา จำได้ว่าที่บางมูลนาก ชนบทเล็กๆ มีบ้านข้างๆโรงวิกนายน้อม เจ้า ของชื่อนายสุวรรณโพธิ์สมบัติ คฤหบดีผู้มั่งคั่งในเมืองบางมูลนาก และทันสมัยที่สุดในขณะนั้น เราจำได้ว่าหน้าร้อนแกมีพัดลมขนาด ประมาณ 12 นิ้วอยู่ 1 เครื่อง แกนอนบนแคร่งามเอนเอกเขนกอย่าง สบายอารมณ์ พัดลมพัดจนหนวดดำปนหงอกของแกปลิวไสวน่าดู ชมยิ่งนัก ทุกคนได้เห็นแล้วช่างน่าอิจฉาในความสุขของแกเสีย จริงๆ ขณะนั้นเรายังเล็กมากเป็นเด็กยากจนที่ ต้องการดูหนังชาลี แช๊ปปลิ้นหรือโอวลี่จูและแช่ซุยเล้งฟรี จึงไปป้วนเปี้ยน แถวนั้นเพื่อ คอยช่วยเจ้าของหนังแห่ป้ายโฆษณาชื่อหนังที่จะฉายในวันนั้น หรือตีฉาบ หรือตีกลอง เพื่อเข้าชมหนังฟรีเฉพาะในวันนั้น ให้รู้สึก อิจฉานายสุวรรณ โพธิ์สมบัติ แกเหลือเกิน หนังที่ฉายจะต้องมี เครื่องทำไฟฟ้าของตนเองเท่านั้น เพราะไม่มีโรงไฟฟ้าของรัฐ ขณะนั้นจึงให้สงสัยเป็นกำลัง เพราะเครื่องไฟฟ้าของโรงหนังก็ไม่เปิด เหตุไรพัดลมจึงหมุนได้ ได้พยายามถามเพื่อนๆและผู้ใหญ่ที่พอจะ ไถ่ถามได้ก็ไม่มีใครให้ ความกระจ่างได้ จนภายหลังจึงทราบว่าพัด ลมนั้นเดินด้วยลานใหญ่ๆ เพราะหมุนลานแต่ละครั้งจะพัดได้ ไม่ เกิน 20 นาทีเท่านั้น อาเตียเราได้ปลุกประสาทให้เราเห็นดีเห็นชอบ ในความเห็นของแก เกี่ยวกับเมืองจีน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาเตียแก เราก็ชักจะคล้อย ตามกับถ้อยคำปลุกปั่นโน้มน้อมใจให้นิยมเมืองจีน ตามคำอวดอ้าง ของแก แม้เราจะคล้อยตามและเชื่อถือให้ถ้อยคำของผู้บังเกิดเกล้า ก็จริง แต่ทว่าอาเตียของเราก็ไม่เคยสนิทสนมและเอาใจใส่เราถึง ขนาดเช่นเดี๋ยวนี้มาก่อนเลย เราจึงรู้สึกลังเลต่อถ้อยคำของแกในใจ ของเรามีแต่คุณแม่และคุณยายเท่านั้นที่สนิทสนมถนอมกล่อมเกลี้ยง และฝังใจรักทนุถนอมเรามากที่สุด แล้วเราจะจากคุณแม่คุณยายไป เมืองจีนกับอาเตียของเราได้อย่างไร? เราจะจากคุณแม่คุณยายไป ได้ละหรือ? เราไม่เข้าใจตัวเราเอง เราสงสัยในตัวเราเอง ไม่ๆอย่าง เด็ดขาดเราจะไม่จากคุณแม่คุณยายเราไปอย่างเด็ดขาด โอ้ชีวิตเจ้า ข้าชีวิตข้าน้อยนี้เป็นของใคร ไม่ใช่เป็นของคุณแม่คุณยายละหรือ? ไม่ๆเราจะไม่จากคุณแม่คุณยายไปไหน เราจะต้องอยู่กับคุณแม่ คุณยายไปตลอดชีวิตของเรา ให้จงได้ แล้วเมืองจีนล่ะ เมืองจีนที่อา เตียเฝ้าปลุกปั่นให้เห็นดีเห็นงาม ไปกับแก พลันเราก็รู้สึกลังเลขึ้นมา อีก เมืองจีนคือแดนฟ้าเมืองสวรรค์ตามลมปากของอาเตียแก พลัน เราก็กลับสองจิตสองใจขึ้นมาอีก ชีวิตหนอชีวิตนี้เป็นเช่นไร? เราให้ รู้สึกสงสัยเสียจริงจริ๊งเจียว


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 03 กันยายน 2002.