วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน02 "จากและอาลัยคุณแม่และคุณยาย "

อาเตีย เราพยายามใช้เวลาเกลี้ยกล่อมมานานหลายเดือนเต็มที แรกเริ่มทีเดียวเลย ท่านจะไปไหนก็จะพาเราไปด้วย พูดจนกระทั่ง เราเกิดความเลื่อมใสเมืองจีน ของแกแล้ว ต่อไปเราก็สมัครใจจะไปเอง ซึ่งหนักๆเข้าเราสมัครใจไปเอง คุณแม่จะว่าอย่างไรเราก็ไม่ยอม บาง ทีเราก็เชื่อแม่ บางทีเราก็ไม่ยอมจะไปกับ อาเตียให้ได้ ไม่ว่าแกจะไป คุยกับเพื่อนแกจะไปเดินเล่นทีไหน อาเตียก็เอาเราเป็นเงาตามตัว ไปด้วยเสมอไป บางทีคุณยายไม่ให้ไป เราก็ร้องไห้เข้าไปกราบคุณ ยายขอไปกับ อาเตียเราให้ได้ คุณยายก็สงสารมันติดพ่อมันเหลือ เกิน ก็เกิดสงสารต้องให้ไป ฉะนั้นเมื่อ อาเตียจะไปไหนก็พยายาม พูดถึงเมืองจีนกรอกหูเราอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งการเล่านิทาน ซึ่งเราก็ จำไม่ได้แล้วว่ามีนิทานอะไรบ้างของเมืองจีน ที่อาเตีย พยายามเล่า นิทานของเมืองจีนอยู่ตลอดมา เราก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง จนเดี๋ยวนี้ ลืมไปหมดแล้วเพราะนานตั้ง 60 กว่าปี แต่มาหวนนึกถึงตอนนั้นเรา ติดคุณพ่อของเรามากทีเดียว ซึ่งปกติอาเตีย แกไม่ค่อยพาเราไปไหน เพราะเหตุว่าเราเป็นเด็กผู้ชายหนึ่งแกไม่ต้องห่วง และอีกประการ หนึ่งแกชอบไปไหนไปคนเดียวอยู่ตลอด แกไม่ต้องมีเราให้รำคาญ ใจ แต่ตอนที่แกพยายามจะชักชวนเราไปเมืองจีนนี่สิ ตอนหลังถึง ทราบว่าแกพยายามขอคุณแม่ขอคุณยายตั้งหลายครั้งแล้ว คุณแม่ คุณยายก็ไม่ยอมให้ไป เอ้าหรือหนักๆเข้าเกิดรำคาญก็ให้ถามไอ้จั้ว มันสิ มันยอมไปก็จะยอมเพราะเราก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปเมืองจีนกับ คุณพ่อเราเลย ตอนหลังคุณพ่อพยายามชักชวนเราว่าเมืองจีน เหมือนสวรรค์ชั้นวิมานอะไรก็ไม่ปานนั้น ก็ดีไปหมดเลยซึ่งมันเป็น ไปไม่ได้ ถ้าเราโตหน่อยเราก็พอจะรู ้แต่ขณะนั้นเราไม่ทราบจริงๆ คล้อยและเห็นชอบไปตามคำพูดของแก บางวันถึงกับฝันว่าเราไป เมืองจีนมีสมบัติมากมายเหมือนสวรรค์ชั้นวิมานชั้นฟ้าก็ไม่ปาน เรา ถึงขนาดฝันไปหลายต่อหลายครั้งทีเดียวเลย ฉะนั้นตอนหลังๆนี่ เดือนที่ 4-5 ทำให้เรารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับความฝันของเราของ การไปเมืองจีนนั่นทีเดียว พออาเตียเราไม่อยู่คุณแม่เราก็บอกว่า "จั้วเอ๊ยอย่าไปเลยนะเมืองจีน" เมืองจีนถ้าดีจริงซินตึ๊งเขาคงไม่มา เสื่อผืนหมอนใบอย่างนี้แน่ๆ เขาจะต้องเอาอะไรมาอีกเยอะแยะ ทุกๆคนมาก็เอาเสื่อผืนหมอนใบมาเท่านั้น แล้วก็มาสร้างเนื้อสร้าง ตัวจนกระทั่งมั่งมีขึ้นในเมืองไทยเยอะแยะ อย่างกับเถ้าแก่หว่างหลี นั้นล่ะพี่น้องของพ่อเองล่ะ ถ้าดีจริงเขาคงไม่เอาเสื่อผืนหมอนใบมา สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวย ไม่กลับไปเมืองจีนอย่างนี้หรอก เราก็ไม่ เชื่อเพราะปล่อยให้ใจเราเคลิบเคลิ้มถึงขนาดฝันตั้งหลายๆครั้งว่าเมืองจีน เหมือนสวรรค์ชั้นวิมานก็ยังไม่ปาน เมื่อใกล้เวลาที่อาเตียจะพาเรา ไปเมืองจีนกำหนดเวลาแน่นอนนี่เอง ทำให้เราไม่ยอมให้อาเตีย ห่างตาเลย ปกติบ้านเราทำห่อหมกขายเช้าๆ คุณแม่เราทำขนม ถ้วยกับขนมขี้หนูไปขายตื่นตี 3 ตี 4 ทำแป้งกับกะทิหน้าขนมถ้วย แล้ว เอาแป้งมายีทำขนมขี้หนูขูดมะพร้าว เราตื่นขึ้นมาก็มีหน้าที่ขูด มะพร้าวด้วยมือ แกก็พยายามสอนว่าจั๊วเอ้ย นึ่งขนมถ้วยนี่นะต้องรู้ ไว้ว่าทำตัวขนมถ้วยแล้วการหยอดหน้าขนมถ้วยขณะที่น้ำยังไม่เดือด เราอย่าเอาลง ต้องตั้งให้น้ำเดือดเสียก่อนจึงหยอด ส่วนตัวก็ต้องนึ่ง ไว้ตั้งแต่เย็นวานนี้ หน้ากับตัวเขาไม่ให้ติดกันขณะที่จะหยอดหน้า จะต้องให้น้ำร้อนให้จัดเสียก่อน จึงให้ตั้งบนเตาไฟแล้วหยอดหน้า เดี๋ยวนั้นเลย ไม่อย่างนั้นหน้าจะไม่แตกมัน หน้าไม่แ ตกมันจะไม่ สวยนะและรับประทานไม่อร่อย นี่เป็นเคล็ดลับ ของการทำขนมถ้วย สำหรับขนมขี้หนูไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าขนมขี้หนูจะให้อร่อย ต้องเอาน้ำมะพร้าวมาปนเข้าไปแล้ว เอามาผสมกับแป้งแล้วถึงเอา ไปนึ่ง ผสมได้มากน้อยเท่าไหร่ก็แล้วแต่เราจะผสมแล้ว มันจะทำให้ ขนมขี้หนูนี่อ่อนรัว อบเทียนให้กลิ่นหอมหวานขึ้นชุ่มคอขึ้น นี่คือ เคล็ดลับของขนมขี้หนู ตอนเช้าทำขนมถ้วยและยีขนมขี้หนูเสร็จ มะพร้าวเสร็จพอดี แกก็ไปตลาดนำไปขาย พักเดียวก็ขายหมด กลับมาจะต้องซื้อปลาใบตองมาด้วย มาถึงก็ให้เราเป็นคนฉีกใบตอง แล้วแกก็ทำปลา อาเตียก็ไปปอกมะพร้าวและขูดมะพร้าว เรา ก็เป็นคนเอาปลาที่คุณแม่ทำมากวน แกก็สอนอีกว่าทำห่อหมก ข้อ สำคัญที่สุดคือข้าวเบือ ในน้ำพริกจะต้องใส่ข้าวเบือเสมอไป ถ้าลืม ใส่แล้วน้ำพริกจะไม่นิ่ม ข้าวเบือคือข้าวหักเอามาแช่จนไน่แล้ว ก็ เอามาใส่น้ำพริกขณะตำ น้ำมะพร้าวที่เหลือก็เอาใส่ลงไปนิดหน่อย ด้วย ขณะตำน้ำพริกต้องใส่เครื่องให้ครบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพริกจะ ต้องซื้อพริกบางช้าง พริกบางช้างมันไม่ค่อยเผ็ด และกลิ่นมันจะหอม กลิ่นพริก ส่วนพริกอย่างอื่นไม่ค่อยหอมและเผ็ดจัดอีกด้วย ซึ่งคน กินเขาจะไม่ค่อยชอบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกวน ห่อหมกต้องกวน ให้น้ำมันออกข้น กวนได้ที่แล้วนำไปห่อ ห่อหมกจะอร่อยหอมจาก น้ำพริก แล้วน้ำมะพร้าวที่เราเก็บไว้ต้องใส่กวนทั้งหมดด้วย จะทำ ให้ห่อหมกรสนิ่มอร่อย เวลานึ่งต้องธูปดอกเดียว คอยให้น้ำเดือด เสียก่อนแล้วจึงเอาห่อหมกไปตั้งนึ่ง การนึ่งห่อหมกต้องพอดีธูป ดอกเดียวต้องรีบเอาลง คุณแม่เอาไม้กลัดทิ่มลงไปถ้าทะลุได้ สบายๆ แสดงว่าสุกแล้ว ถ้าทิ่มลงไปไม่ค่อยทะลุลงหมายถึงว่าเนื้อ ปลายังไม่สุก นี่เป็นเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งชั่วชีวิตของการที่เรา ช่วยคุณแม่ทำนี้ยังมีอื่นๆอีกหลายอย่าง ซึ่งไม่ใช่กิจวัตร ประจำวัน บางทีก็ทำบ้างบางทีก็ไม่ทำ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดอะไร พวกนี้ยังมีอีกมาก นานมาแล้วบางทีก็นึกไม่ออก
ตลอดระยะเวลา 5-6 เดือนที่อาเตียเกลี้ยกล่อมเรา แกไป ไหนเราต้องตามไป นี่เป็นกิจวัตร ประจำวันของเรา เราต้องทำหน้าที่ ให้เสร็จมิฉะนั้นคุณแม่คุณยาย จะไม่ให้เราไป หน้าที่เราในการทำห่อ หมก ก็คือฉีกใบตอง คั้นกะทิแล้วก็เป็นคนห่อ ห่อหมกเราเป็นคน ห่อ คุณแม่เป็นคนหยิบใส่ใบตอง แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้เราก็ห่อได้บางที จะไม่ค่อยสวยหน่อยเพราะไม่ได้จับเสียนมนานเต็มทีมาแล้ว ตอน หลังเราอายุ10กว่าขวบ เรานึกเลยว่าอาชีพอย่างนี้เราไม่ยอมทำ เด็ดขาดเลย เราจะพยายามหาอาชีพอื่นให้ไต่เต้าขึ้นมาให้ได้ แต่ ขณะนั้นเราไม่มีหัวคิดอันนี้ ช่วยคุณพ่อคุณแม่ไปเรื่อยๆ มีคุณแม่ กับคุณยายเป็นตัวตั้งตัวตี ส่วนคุณพ่อนั้น เป็นส่วนประกอบ แกไม่ ค่อยเอาเรื่อง แกจะไปเที่ยวของแกเรื่อยๆ ตอนหลังพาเราไปก็ พยายามพูดกรอกหูเราเรื่อยๆว่าเมืองจีนมันวิเศษอย่างไรมันมีความสนุก สนานอย่างไร มันเทียมสวรรค์ได้อย่างไร เพื่อนแกก็พยายามส่ง เสริม ตอนนั้นเกือบได้เวลาไปแล้ว เราไม่ยอมให้ห่างแม้แต่ฝีก้าว เดียว พออาเตียไม่อยู่ก็ถามคุณแม่อาเตียไปไหน คุณยายก็หมั่นไส้ เหลือเกินบอกว่า ถ้ามันอยากไปก็ปล่อยให้มันไปรับความลำบาก เสียบ้าง ความเจ็บใจอันนี้ก็ทำให้เราได้ไปเมืองจีนสมความ ปรารถนาที่ร่ำร้องตามคำเกลี้ยกล่อมของอาเตียเรา แต่แล้วอนิจจัง อนิจจาไปถึงเมืองจีนแล้วแทนที่จะเป็นสวรรค์ชั้นวิมานดังที่เราคาด หวังไว้ กลับเป็นนรกเราดีๆนี่เอง เพราะไปกว่าจะถึงบ้านเมืองจีนได้ ก็เดินเท้าเสียเกือบตาย เท้าระบมหมดเลย ค้างคืนหนึ่งตื่นขึ้นมาพี่ ชายที่พอพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย ก็พาเราไปดูนกดูกาโดยเรายัง ไม่เห็นหน้าอาเตียเลยไปจับลูกนก เสร็จแล้วแทนที่จะเห็นลูกนกร้อง ซึ่งมันสูงมากโดยที่ ไม่สามารถจะปีนขึ้นไปได้ พี่ชายเราก็ปีนไม่ได้ เราก็ปีนไม่ได้ ครั้นกลับมาถึงทราบว่าอาเตียกลับเมืองไทยแล้ว เรา ก็ร้องไห้จนน้ำตาเกือบเป็นสายเลือด นี่แหละนรกชัดๆของเรา ซึ่ง เราจะได้กล่าวในตอนต่อไป การกระทำของเราทำให้คุณแม่กับ คุณ ยายเราน้อยใจมากยิ่งๆขึ้น ทั้งหมั่นไส้ ทั้งน้อยใจ หลายๆครั้งๆ ความ ชอกช้ำใจก็มากขึ้นมากขึ้น จนถึงกำหนดวันที่อาเตียได้กำหนดให้ เราไป เราได้ไปลาคุณแม่คุณยายแกไม่ได้ทักท้วงแม้แต่คำเดียว เช้าวันเดินทางก่อนที่อาเตียกับเราจะไปขึ้นรถไฟเพื่อไปกรุงเทพฯ และเดินทางลงเรือต่อไปยังเมืองจีนนั้น เราได้เข้าไปกราบคุณแม่ และคุณยายเพื่อขอพรจากท่าน ท่านมิได้ทักท้วงเราแม้แต่นิดเดียว เลย เพราะท่านคงจะเจ็บใจเราที่เราไม่เชื่อฟังท่านแม้แต่น้อย ท่าน เตือนเราตลอดเวลาว่าลูกเอ้ยเมืองจีนน่ะไม่มีอะไรดีนะ ถ้ามันดีทั้ง คุณพ่อทั้งใครๆเขาคงไม่มาเมืองไทยหรอก นี่มาเมืองไทยหาได้ เท่าไหร่ก็ต้องส่งไปเมืองจีน เมืองจีนอดอยากเหลือเกิน ไม่ใช่วิมาน ชั้นฟ้าอย่างที่ลูกใฝ่ฝันไว้หรอกอย่าไปเลย แต่เราก็มิได้เชื่อท่าน ตลอดระยะเวลายาวนานที่พร่ำตักเตือนเรา ฉะนั้นวันมากราบลา ท่าน ท่านจึงคอแข็งไม่ได้ทักท้วงแม้แต่คำเดียว แต่ว่าเราสังเกต เห็นว่านัยต์ตาท่านปริ่มไปด้วยน้ำตาเยิ้มคลอเบ้าตลอดเวลา คุณ ยายถึงกับต้องหันหน้าไปแล้ว ไม่กลับมาดูอีกเลยมีแต่เสียงอวยพร ว่า ลูกเอ้ยจงไปดีมาดีไปสวรรค์วิมานชั้นฟ้าตามที่ลูกปรารถนา เถอะสาธุ นี่คือเหตุการณ์ในวันนั้น ซึ่งขณะนั้นอารามที่อยากจะไป ให้ถึงวิมานชั้นฟ้ามากกว่าที่จะมาสังเกตเห็นอาการผิดปกติของ ท่านทั้ง สอง ประกอบว่าเรายังเล็กอยู่ยังไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของคุณพ่อ เรา ซึ่งจะ พยายามเอาเราไปปล่อยเกาะ ซึ่งต่อมาจึงได้รู้ว่าลูกคนโต คุณพ่อ มักจะเอาไปปล่อยสืบพืชพันธุ์อยู่ที่เมืองจีนเสมอมา ส่วนมากจะเป็น แบบนี้หลายๆรายแล้ว คนจีนเขาก็รักเมืองจีน ต้องการสืบเผ่าพันธุ์ อยู่ที่เมืองจีนตลอดไป ซึ่งเรามาทราบเอาตอนหลังๆ แต่ว่าเราไม่มี ความรู้สึกเลยอารามอยากไปถึงวิมานชั้นฟ้ามากกว่า จนเราลิงโลด ตื่นเต้นจนระงับใจไม่อยู่ ก้มลงกราบแล้วก็เร่งคุณพ่อไปเหอะ ไป เหอะ นี่เองทำให้ทั้งคุณแม่และคุณยายคอแข็ง ส่วนน้องสาวเรายัง เล็กมาก มาดูแล้วก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเลย เพียงแต่เกาะแขนอาเตีย อยากไปบ้างเท่านั้นเอง เรามีทั้งหมด 3 คนพี่น้อง คือพี่สาวคนโตซึ่ง แก่กว่าเรา 14 ปี แล้วก็มีน้องสาวคนเล็กซึ่งอ่อนกว่าเรา 3 ปี เรา 9 ขวบขณะนั้นน้องสาวเราเพียง 6 ขวบเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราก็เร่งคุณพ่อให้รีบไปรีบไป คุณแม่คุณยาย อวยพรเสร็จก็เข้าห้อง วันนั้นคุณยายคุณแม่ไม่ขายอะไรเลย คงจะ เป็นวันวิปโยคของคุณแม่กับคุณยายของเราเป็นแน่แท้ (ซึ่งขณะนั้น เรายังเล็กจึงไม่มีความรู้สึกเรื่องนี้มากนัก) เลยหยุดกิจการที่เคยทำ ประจำวันทั้งหมด อาเตียก็รู้ใจตัวเองว่ากลัวจะใจไม่แข็งพอจึงรีบ พาเราออกไปสถานีเลย เราก็รอนแรมอยู่บนรถไฟ สิ่งที่พานพบ และจำได้ติดตาติดใจถึงเดี๋ยวนี่ก็คือสถานีช่องแค ขณะนั้นผ่านไป เรายังสงสัยเลยว่าภูเขาทำไมมาติดกับรางรถไฟอย่างนี้ รถไฟกำลัง
วิ่งอยู่ช้าๆแทบจะเอามือไปจับภูเขาได้เลย เขาระเบิดหินพอให้ช่อง รถไฟผ่านไปได้เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ใครผ่านไปผ่านมาที่ช่องแค ที่เขา ระเบิดทำหิน เดี๋ยวนี้ห่างจากทางรถไฟเป็นกิโลเลย แต่ขณะนั้นแทบ จะเอามือจับถึงหินได้ ซึ่งเราจำได้ดี และการขึ้นรถไฟแต่ละครั้ง เหมือนกับไร่นาสาโทวิ่งหนีเราไป ต้นไม้แต่ละต้นเดินหาเรามั่งเดิน หนีเรามั่ง เสียงรถไฟขณะนั้นถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เพราะขณะนั้น เป็นรถไฟที่เดินด้วยสตรีมไอน้ำ ใช้ฟืนเป็นพลังในการขับเคลื่อน ไม่เหมือนสมัยนี้ ใช้เครื่องดีเซลและใช้น้ำมันโซล่าเป็นพลังขับเคลื่อน กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็ตกราวๆ 2 ทุ่ม พักที่โรงแรมน่ำเฮง ขณะนี้รู้สึก ว่ายังมีโรงแรมอยู่เลยนะ และอาเตียได้พาเราไปร่ำลาหว่างหลีและ มุยหลีซึ่งเป็นร้านค้าของชำที่ตลาดหัวลำโพง จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยไปหลายทีแล้วร้านนี้ สำหรับหว่างหลีนี่จำไม่ได้เลย เพราะไปแล้วมันใหญ่โตระโหฐานเหลือเกิน บ้านเศรษฐีมีเงิน แม้จะ เป็นญาติเรียกว่า โง้วหกไหล(ญาติภายในห้าชั่วทอด)ของเราก็จริง แต่ว่าเรามันยากจน เขานั่นเป็นมหาเศรษฐี แม้นอาเตียจะเข้าไป อี๋อ๋อด้วย แต่เราไม่ชอบเลยเคยพาไป 2-3 ครั้ง พอเราเขียนถึงตรงนี้ ก็หวนนึกถึงในชีวิตที่ผ่านมา เมื่อเรากำลังสร้างโรงสีไฟขนาดวันละ 80 เกวียน ซึ่งเป็นโรงสีไฟใหญ่มากสำหรับชนบทเล็กเช่นเมืองบาง มูลนากในขณะนั้นเพราะส่วนมากจะเป็นโรงสีที่สีได้วันละไม่ถึงสิบ เกวียนหรือสิบกว่าเกวียนและที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่เกินสีได้วันและคืนละ สี่สิบเกวียน ฉะนั้นโครงสร้างจึงสูงใหญ่โตผิดกับโรงสีไฟโรงอื่นๆ ทั่วๆไป ชาวตลาดมาชมการสร้างเราก็ให้การต้อนรับไปตามมีตาม เกิดโดยไม่มีเวลามากนักพร้อมกับขอโทษ ที่ไม่มีเวลาคุยด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะความจำเป็น เกิดขึ้น เพราะเราเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้าง โรงสีในครั้งนั้นเพราะ เป็นทั้งเจ้าของ ผู้อำนวยการสร้างและข้อ สำคัญเราเป็นช่างที่มีความรู้ในเรื่องโรงสีมากที่สุดในการสร้างโรงสีใน ขณะนั้น การสร้างได้แบ่งเป็นหลาย แผนก เช่น
1. แผนกสร้างตัวโรง
2. แผนกสร้างร้านสี
3. แผนกตั้งตัวหิน 8 ลูก คือหินสีข้าวดำ 4 ลูกหินสีข้าว 4 ลูก ใช้ช่าง 2 ชุด เพราะเร่งสร้างให้เสร็จทันข้าวใหม่ที่จะออกมา
4. แผนกวางฐานตั้งหม้อน้ำ
5. แผนกปล่องไฟสูงเสียดฟ้า
6.แผนกปั้นอิฐตามจำนวนที่ต้องการ เพราะต้อง ปั้นและเผาในที่ดินของเราเองเลยโดยขุดดินมาจากที่อื่นๆ
7.แผนกสร้างยุ้งข้าวริมตัวโรงสีไฟทั้งสองข้างซึ่งตัว โรงสร้างเสร็จแล้วใช้ช่าง 2 ชุด ขวา 1 ชุด ซ้ายของตัวโรง 1 ชุด
8. แผนกทำรางและ ทำท่อลมเข้าไว้ เพื่อใช้เมื่อทุกอย่าง เสร็จแล้วจะได้ใช้รางและท่อต่อเสริมให้การสีข้าวสมบูรณ์ได้
9. แผนกก่อตั้งเทปูนตุ๊กตาเพลาราว
10. แผนกไสไม้เตรียมไว้เพื่อแผนกต่างๆ เมื่อจะใช้ไม้ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในคอนโทรลของเราทั้งหมด
11. แผนกเหล็กทำบอลลูกกับทำตัวพัดลมอีกด้วย
ฉะนั้นตลอดระยะเวลาทั้งวันเต็มๆเราจะต้องหัวยุ่งกับแผนก ต่างๆที่ต้องคอยเรา เพื่อกำหนดสถานที่ให้วาง กำหนดวัดระดับน้ำ กำ หนดการตั้งหินทั้ง 8 ลูก กำหนดการตั้งพื้นฐานตะแกรงโยกและ ตะแกรงสี่เหลี่ยม อีกเกือบ 10 ตะแกรง เมื่อมีชาวตลาดมาเยี่ยม จึงไม่มีเวลาต้อนรับมากนัก ได้แต่ขอโทษๆๆพรรคพวกทุกๆคนแต่ เท่านั้น(กลางคืนก็ต้องเขียนแปลนและแผนงานเพื่อใช้ในวันรุ่งขึ้น) ครั้นการก่อตั้งโรงสีใกล้เสร็จ ก็มีพี่น้องจากเมืองจีนมาเยือนมาก หน้าหลายตา โดยที่เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลย เราก็ต้อง ต้อนรับไปตามมีตามเกิด เห็นจะเป็นด้วยเหตุจำเป็น เช่นนี้เหมือน กันกับหว่างหลีโดยไม่มีเวลามาต้อนรับ และสังสรรค์ กับอาเตียเราเท่า ที่ควรก็เป็นได้ตามที่เราเคยไปกับอาเตียเรา แต่ขณะนั้นเราไม่มีประสบการณ์และไม่เข้าใจ จึงไม่ยอมไปกับอาเตียเราอีกเลย เพราะ หยิ่งและทรนงในศักดิ์ศรีของตัวเราเอง แม้จะไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย แม้แต่น้อยในขณะนั้น เราอยู่กับอาเตียเราและเพลิดเพลินกับความ วิจิตรพิสดารของกรุงเทพมหานคร ไปกี่วันจำไม่ได้ แต่อารามที่ไม่ เคยจากคุณแม่และคุณยายหลายๆ คืนมาก่อนก็ทำให้เราคิดถึงคุณแม่ และคุณยายเป็นอย่างมาก จึงรบเร้าอยากจะกลับบ้านกับอาเตียเรา อาเตียก็พยายามพาเราขึ้นรถเจ็กไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จนเรา เพลินไปอีก โอ้คุณแม่จ๋าคุณยายจ๋า ก่อนนอนเราร้องให้จนใจหาย และคิดถึงคุณแม่และคุณยายเป็นกำลังแล้วพลันเราก็น้ำตาไหลและในที่ สุดก็หลับไปในอ้อมกอดของอาเตียเราจนได้ การจากบ้านเกิดเมือง นอนรวมทั้งคุณแม่คุณยายของเราช่างเป็นการจากที่แสนจะว้าเหว่ อดคิดถึงซึ่งกันและกันไม่ได้ และคิดว่าคุณแม่คุณยายเราก็คงจะคิด ถึงตัวเราเหมือนๆกับเราคิดถึงท่านทั้งสองนั่นแหละ สมุดจ๋าโปรด เป็นพยานในความรักความอาลัยอาวรณ์ที่เรามีต่อคุณยายและคุณแม่ ของเราด้วย แต่ทว่าทั้งๆที่เราคิดถึงอาลัยอาวรณ์ต่อคุณยายและ คุณแม่สักปานใด แต่ทว่าความอยากไปเมืองจีนเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ในความใฝ่ฝันของเราก็ยังมีมากกว่า จึงจำต้องตัดใจ ความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ให้คลายลงบ้างกระทั่งเพลียและหลับไปตาม วิสัยของเด็กที่กำลังกินกำลังนอน


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 03 กันยายน 2002.