วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน03 "น้ำตาเป็นสายเลือด"

เมื่อได้กำหนดอาเตียก็พาเราขึ้นรถเจ็กไปลงเรือประมาณ 3 คืนหรือ 7 คืนเนี่ยะจำไม่ได้ กว่าอาเตียจะซื้อตั๋วเรือไฟได้รอวัน กำหนดออก ขณะลงเรือไฟเรารู้สึกว่าท่าเรือมันใหญ่โต เรือลำโต กว่าบ้านตั้งเยอะแยะหมดเลย ขณะนั้นมันมโหฬารจริงๆ มากรุง เทพฯเราก็ตื่นเต้นแล้ว มาลงเรือก็เรือลำโตอีกเพราะขณะนั้นไม่ใช่ เรือใบเป็นเรือกลไฟที่เดินด้วยสตริมไอน้ำแล้ว ปกติเขาเดินทาง 7 วันถึงแต่เที่ยวเราไปเขาเดินทาง 9 วันถึงซัวเถา เราอยู่ในเรือพอ เรือออกสักพักเราก็เวียนหัว ตกเย็นก็อาเจียนออกมาจนไม่มีอะไร เหลือเลย อาเตียก็พยายามเอาข้าวต้มให้เรากิน ข้าวต้มมันก็ฝืดคอ เหลือเกินมันจะอาเจียนท่าเดียวเท่านั้นเองไม่อยากกินเวียนไป หมด นับว่าเป็นนรกสำหรับเรา แต่วันที่ 5 วันที่ 6 เราก็รู้สึกชินต่อ การโคลงของเรือและคลื่นแล้วก็เริ่มขึ้นไปบนดาดฟ้า ที่นอนในลำ เรือนั่น มันไม่ใช่ที่นอนธรรมดาเขามีไม้ให้อันหนึ่งสำหรับหนุนหัว เราก็เอาผ้าอะไรมารองให้มันนุ่มสักหน่อย แล้วก็นอนเรียงกันเป็น แถวไปตลอดแถวติดกันเป็นพืดเลยติดกันตลอดเวลา เพราะมิฉะนั้น มันก็ไม่มีทางบรรจุคนหลายๆพันคนไปได้เรือลำหนึ่ง แต่ว่าใหม่ๆ เข้าไปมันเวียนจนไม่รู้สึกตัวอะไรมันจะอาเจียนท่าเดียว ไม่อย่าง นั้นก็หลับตลอดมา ในเรือนั่นไม่มีอะไรเลยของขายอะไรก็นิดๆ หน่อยๆ ส่วนเรือก็ให้ข้าวเพียงอย่างเดียว ส่วนกับเราไปซื้อเองบน ดาดฟ้ามีขายบ้างนิดๆหน่อยๆมีเต้าทึงอะไรพวกเนี๊ยะขาย ถึงเวลา อาหารเขาให้เราหยิบชามเอง เขาหุงอยู่ในถังแล้วเราก็เอาชามตัก ลงไปเองในถังไม้อันใหญ่ แล้วก็ลงมาข้างใต้นี่มากินกับข้าวของเรา เองซึ่งแต่ละคนจะต้องเอาของส่วนตัวไป ถ้าไม่ได้เอาไปก็ต้องไป ซื้อที่ดาดฟ้าเรือซึ่งเขามีของขาย ซึ่งขณะนั้นจำได้ว่าสตางค์แดงเรา แลกได้เหรียญ ทองแดงจีน 2 อันคือ 2 ลุย เหรียญเงินเราสองเหรียญ แลกเหรียญเงินจีนได้ 1 เหรียญ พอไปเมืองจีนเงินจีน 1 เหรียญ แลกได้ 320 ลุย ไปถึงคุณพ่อก็จัดแจงแลกเงินลุยให้ แล้วฝากอาซี้ซิ้ม ไว้ให้เรา เรารอนแรมไปในเรือแทบจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอะไร เลย มองไปข้างนอกก็เห็นน้ำกับฟ้า วันที่ 5 ที่ 6 ขึ้นไปบนหัวเรือเรา ก็อยู่ได้ตรงกลางๆใครไปยืนตากลมกันหัวเรือที่เป็นกำแพงพิงตากลม สบาย ขณะนั้นเราขี้ขลาดกลัวจะตกทะเลไปให้ได้ เขาไปกันเราก็ ไม่ไป พอขึ้นบันไดไปได้หน่อยก็อยู่ตรงกลางลำเรือตรงนั้นเองไม่ ยอมเดินไปไหนอีก เขาบอกตากลมแล้วจะหายเวียน เราก็ไป ตากลมแต่ไม่กล้าลงมาถึงหัวเรือ ขณะนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นตัว ของตัวเองเลย อะไรก็อาเตียทั้งหมด พอล่วงเข้าวันที่ 7 จึงมีเรื่อง เราชกต่อยกับเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ในเรือนั่น เขามาเหยียบขาเรา เราก็ว่ามาเหยียบทำไม ขณะนั้นเราพูดภาษาจีนไม่ได้ มันก็พูดแต่ ภาษาจีน ยังไงไม่รู้อยู่ๆมาเขกหัวเรา เราก็ชกมันเลย แต่เราควง แขนควงเอาควงเอา มันเห็นว่าเราควงแขนมันก็หนีไป คนอื่นมา เห็นก็ว่าไอ้นี่มันเก่งนี่หว่าชกชนะคนอายุ 15-16 ทั้งๆที่ขณะนั้นเรา อายุ 9 ขวบเท่านั้นเอง คุณพ่อเราก็เอาไปคุยที่เมืองจีนให้ฟัง นี่เป็น สาเหตุที่ทำให้เราถูกตบสลบไปวันกับคืนหนึ่ง เหตุการณ์นี้จะได้เล่า ต่อไป วันที่ 9 ก็ถึงซัวเถา ไปค้างซัวเถาคืนหนึ่ง โรงแรมเขาสู้เราไม่ ได้ โรงแรมเขาห้องแคบนิดเดียว อาหารการกินไม่ดีเลย ขณะนั้นจำ ได้ว่ามันไม่ค่อยมีอะไรเลย อาเตียไปติดต่อว่าจ้างเรือใบเขาไปใกล้ พอที่จะไปบ้าน เฮียลี้ได้ เฮียลี้เรียกว่า "ตำบลล่งโตว หมู่บ้านกื่อมุ่ย" จำได้คลับคล้ายคลับคลาแบบเนี้ยะ พักโรงแรมคืนหนึ่ง พอรุ่งเช้า เราก็ถูกปลุกให้ตื่นตอนหัวมืดเลย ไปถึงก็ขึ้นเรือใบ ไม่ใช่ใช้ใบใช้ลม นะใช้คน 2 คนอยู่บนบก คล้ายๆเอาเชือกผูกกับกระบอง คนก็เอา บ่ารองเข้าแล้วก็เข็นเรือไปอย่างนั้นเป็นการขึ้นน้ำ ถ้ามีลมมาพอดี ใบ เขาก็ชักกางขึ้นไป เราก็อยู่ในเรือดูไประหว่างทางตลอด ซึ่งเราก็ จำไม่ได้หมด แต่ว่าแม่น้ำมันก็คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ว่าแม่น้ำเมือง จีนแทนที่มันจะมีต้นไม้เยอะๆเหมือนเมืองไทยเรา มีแต่ภูเขาและ ถนนเลี่ยนโล่งต้นไม้ก็น้อยเต็มที ถนนที่แลเห็นเป็นถนนวางซีเมนต์   เป็นทอดๆไปแบบนั้น คนลากก็ลากเรือเราไปจนกระทั่งมาถึงที่ แล้ว เขาก็จัดแจงทอดสมอปักหลักแล้วบอกว่าถึงแล้วเตรียมตัวขึ้น บกได้ อาเตียก็จ้างคนนำทางมาอีกคน ไปให้ถึง "หมู่บ้านกื่อม่วย ตำบลล่ง โตว" เรายังเดินไปอีก ไปถึงนั่นในราวตะวันตรงหัวพอดี เดินตลอดเวลาไปจนกระทั่งถึงประมาณทุ่มกว่าสองทุ่มราวๆนั้น พอ ไปถึงอาเตียก็ขึ้นเตียงเลย ห่มผ้าสั่นอยู่ตลอดเลย ส่วนเรานี่ไม่รู้สึก หนาว อายุน้อยๆขณะเล็กๆ ไม่รู้สึกหนาวเท่าไหร่ หนาวเหมือนกัน แต่มันก็พอทนได้ ไปได้เล่นได้กระโดดโลดเต้นเสียหน่อยก็หาย หนาวไป ไปถึงมีคนมาเยอะแยะเลย อาเตียก็ขนของไปแจกกัน ใคร มาก็จัดแจงแจกของให้ เขาก็เอาของมาให้ เอาของกินเล็กๆน้อยๆ มาให้ เราก็แจกของเตรียมเสื้อผ้าเตรียมขนม อะไรจากเมืองไทย จ้างเขาขนไปเยอะแยะหมด คนมาจากเมืองไทยคนหนึ่งจะต้อง แจกเป็นกิจวัตรประจำเลยทุกๆคน ซึ่งเมื่อเราไปอยู่ที่นั่นแล้วก็อย่าง นี้เหมือนกัน คนมาจากเมืองไทยแล้วเราก็ต้องไปไปรับแจกของจาก เขา เราแม้จะเป็นเด็กเขาก็แจกให้ทุกที เหมือนกับตายอดตาย อยากจะแย่ความจริงก็ตายอดตายอยากจริงๆ แต่คุณพ่อเรามา พูดเสียเลอเลิศเลย วันหนึ่งอาเตียให้เราไปเอาได้ลุยเดียว ลุยหนึ่ง ทำด้วยทองแดงแต่ใหญ่กว่าสตางค์แดง เราเยอะ สตางค์แดงเรา สตางค์หนึ่งแลกได้ 2 ลุยอยู่ ในเรือ แต่มาถึง เมืองจีน สตางค์แดงไม่มี ประโยชน์แล้ว ในคืนวันนั้นอาเตียจะคุยกับใครว่าจะกลับเมื่อไหร่ จะอะไรเมื่อไหร่เขาคุยกันเป็นภาษาจีน ซึ่งขณะนั้นเราฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว จะรู้เรื่องแต่ "ผูบ้อ เก๋าเจ้ง" พอรู้ เพราะอาเตียด่าเรา อยู่เรื่อยๆ แต่คำอื่นๆเราแทบจะไม่กระดิกหูเลยเพราะฉะนั้นอาเตีย จะคุยกับใครอย่างไรเราไม่รู้เรื่อง ประกอบกับเดินทางมาไกลแทบ จะทั้งวันเลยก็ว่าได้ รอนแรมกันมาหลายวัน คืนนั้นเราเลยหลับเป็น ตาย รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาพี่ชายเราก็มาปลุกพาไปเที่ยวกัน ไปจับนกจับ ปลา แต่เราก็รู้สึกว่าผิดหวังเพราะว่าไปแล้วแทนที่จะได้นกกลับไม่ ได้นก ก็เห็นรังนกอยู่สูงๆนกสักตัวก็ไม่เห็นมีเห็นแต่รังนกเท่านั้น เอง พี่ชายเราพาเที่ยวจนกระทั่งเย็นเขาเอาข้าวมากินด้วย เมื่อ เย็นกลับมาถึงเราคิดถึงอาเตียเกือบตายเลย กลับมาอาเตียก็ได้กลับเมืองไทยไปตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากเรือออกไปได้ประ เดี๋ยวเดียว อาเตียก็กลับไปแล้ว เท่านั้นเองเหมือนกับสายฟ้า ฟาดลงมา เรารู้สึกว้าเหว่จนไม่รู้จะพูดอย่างไรเลย เกิดจากท้อง พ่อท้องแม่ไม่เคยจากพ่อจากแม่ นี่มีอาเตียมาคนเดียวคนอื่นๆ ก็ยังไม่รู้จัก พี่ชายก็เพิ่งรู้จักเมื่อเช้าเนี๊ยะเพิ่งมาพาไปเที่ยว พูด ภาษาจีนไม่ค่อยเป็นพูดได้แค่คำสองคำเท่านั้นเอง ภาษาจีนเรา ก็พูดไม่ได้หมด เรารู้สึกสายฟ้าเปรี้ยงหน้ามืด รู้สึกเสียใจจนไม่ รู้จะบรรยายยังไง ความรู้สึกในขณะนั้นไม่สามารถเขียนเป็นตัว อักษรได้เลย มันรู้สึกประหนึ่งว่าใจขาดรอนไปหมดทุกสิ่งทุก อย่างมันมืดมัวไปหมด ตัวเราเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ แท้ๆเลยพูดกับใครพูดก็ไม่รู้เรื่อง จึงได้อยู่อย่างเดียวว่าสะอึก สะอื้นร้องไห้กระสิกๆจนกระทั่งหลับไป อาม้าเราก็เอามากอด แล้วกอดอีก พูดกับแกเราก็พูดไม่ได้ แกพูดเราก็ไม่รู้เรื่อง ร้องไห้ หลับไปตื่นขึ้นมาก็ร้องอีก รู้สึกว่าโลกนี้ทั้งโลกไม่มีความหมายสำหรับเราเลย ที่เราใฝ่ฝันว่ามาเมืองจีนจะเป็นเมืองสวรรค์มัน เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว มาถึงมันนรกเราชัดๆนี่เอง นึกไม่ออกว่า เรามาทำไม เราคิดถึงแม่และคิดถึงยายแล้วก็เจ็บใจ อาเตียใจ ร้ายเหลือเกิน มาแค่วันเดียวก็ทิ้งเราไปแล้ว แทนที่จะเอาเราไปด้วย ถ้าเอาเราไปด้วยเราไม่รู้สึกนั่นเลย แล้วแกก็ไม่ได้พูดกับ เราว่าจะเอาเรามาสืบเผ่าพันธุ์ที่เมืองจีน เปล่าเลยไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียวเลย มาถึงก็มาทิ้งกันอย่างนี้ เราว้าเหว่ เป็นที่สุดเลย สิ่งที่ใฝ่ฝันว่ามาเมืองจีนเท่ากับมา เมืองสวรรค์มลายหายไปหมดตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้ว โอ้สวรรค์ หนอเกิดมาไม่มีอะไรที่ สมหวังเลย ใฝ่ฝันไว้ตั้งหลายเดือนกว่าจะได้เห็นสวรรค์มาถึงก็ กลายเป็นนรกชัดๆสำหรับเรา เราร้องไห้จนน้ำตาเป็นสีแดงๆ คล้ายๆเป็นเลือดปนออกมา นี่เองหนอที่เขาว่าร้องไห้จนน้ำตา เป็นสายเลือด สวรรค์เอ๋ยนรกชัดๆของเรานี่เองหนอ เราคร่ำ ครวญปริ่มว่าจะขาดใจเสียให้ได้ในคืนวันนั้น ไม่ทราบว่าเราร้อง ไห้กระซิกกระซิกร้องจนเพลียมากเข้า มากเข้าก็หลับไป เมื่อตื่นขึ้น มาก็เสียอกเสียใจว้าเหว่คิดถึงคุณแม่คุณยายเสียเหลือประมาณ คิด ถึงแม้กระทั่งเจ๊น้อยพี่สาวเราและน้องปราณีของเรา แล้วก็เสียใจ และเจ็บใจอาเตียเป็นที่สุด แต่มิรู้ว่าจะทำอะไรที่ดีไปกว่าการคร่ำ ครวญโหยหาถึงความอบอุ่นอันเคยได้รับจากคุณแม่ คุณยายและ พี่สาวน้องสาวของเรา แล้วก็เสียใจในความโง่เขลาของเราที่หลง เชื่อคำพูดอันเลอเลิศของอาเตียที่ยกยอเมืองจีนว่า "ศิวิลัย" มีของดี ประหนึ่งเป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ซึ่งเราได้ใฝ่ฝันว่าเป็นเมืองที่วิเศษ สุด จนเรานำมาฝันทั้งขณะหลับและตื่นเสียตั้งหลายเดือนจนเกิด ความอยากจะมาเมืองจีนให้จงได้ จนเรียกว่าหลงในน้ำคำของ อาเตียผู้บังเกิดเกล้าของเราเอง มิใยที่คุณแม่และคุณยายจะได้ ปลอบโยนมิให้เราเชื่อในคำป้อยอ ยกเมืองจีนเป็นเมืองสวรรค์ของ อาเตียเรา แต่เราก็มิได้แยแสต่อคำให้สติของคุณแม่คุณยายเรา เราหลงจนกระทั่งนำมาใฝ่ฝันทั้งขณะหลับและขณะตื่น และติด อาเตียเราเสียจนคุณแม่และคุณยายเราเกิดความเสียใจ กระทั่งเกิด ความโมโหหมั่นไส้เรา และเกิดความเจ็บใจใคร่จะให้เราได้เผชิญ และสำนึกถึงความลำบากยากเข็ญและความว้าเหว่อันแสนสาหัส ให้แก่เรา เพื่อเป็นบทเรียนอันสูงค่าเสียบ้าง จึงรับปากกับอาเตีย เราว่าถ้าสามารถพูดจนเราสมัครใจไปเองแล้วก็จะยินยอมให้ไป กระทั่งเราได้มารับทุกข์ทรมานอยู่ในบัดนี้ โอ้สวรรค์จ๋า เราคิดถึง อ้อมอกอันอบอุ่นของคุณแม่และคุณยายเราเป็นที่สุดแล้ว เรามิควร เลยที่จะเชื่อฟังคำพูดอันไร้ความจริงของอาเตียเรา เราสมควรที่จะ เชื่อฟังคำตักเตือนของคุณแม่และคุณยายเรามากกว่า เราเจ็บใจต่อ อาเตียเรา เหตุไฉนจึงใจร้ายต่อเราเสียเหลือเกินทั้งๆที่เราเป็น เลือดเนื้อเชื้อไขของอาเตียแท้ๆ มาคืนเดียวก็กลับทิ้งเรากลับไป เมืองไทยเสียแล้ว เรายิ่งเจ็บใจเราก็ยิ่งร้องไห้ยิ่งร้องไห้ ก็ยิ่งเจ็บใจ ในความใจร้ายของอาเตียช่างไม่มีความรักและความสงสารเราเสีย บ้างเลย ใจช่างร้ายเหลือ เรายิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึงความรักและความ ห่วงใยของคุณแม่และคุณยายที่มีต่อเราเป็นอย่างมากมาย ยิ่งรัก คุณแม่และคุณยายมากเพียงไร ก็ยิ่งคิดถึงมากเพียงนี้ และก็ยิ่ง ระบายออกมาด้วยน้ำตาระริกๆกระซิกกระซี้ ไม่เป็นสติสมประดี มิ ใยที่อาม้าของเราซึ่งกอดเรา ด้วยความรักความเห็นใจและปลอบ เราด้วยคำว่า"อาโน๊วโอ๊ย อาโน๊ว ม่ายเข่าน่อ เซียก เซี้ยก ๆ" ขณะ นั้นเราฟังไม่รู้เรื่องและไม่รู้สึกอบอุ่นนักเลย รู้แต่ว่าอาม้าแกก็รักเรา เหมือนกัน แต่ทว่าความเสียใจความเจ็บใจและความคิดถึงความ อบอุ่นของคุณแม่และคุณยายเรามีมากกว่า เราจึงไม่ยอมหยุดร้อง ไห้ จนกว่าจนกว่าจะเพลียมากเข้ามากเข้าๆ จึงจะหลับไปด้วย ความเหนื่อยอ่อนและทุกข์ทรมานเป็นที่สุดในชีวิตอันน้อยๆของเรา โอ้สวรรค์เจ้าขาท่านจะรับรู้ในความทุกข์ทรมาน ความว้าเหว่ ความ คิดถึงและความเจ็บใจของเราในขณะนั้นบ้างไหมหนอ เราให้สงสัย เป็นกำลัง ความว้าเหว่และทุกข์ทรมานในขณะนั้นใหญ่หลวงนัก จำได้ว่าความทุกข์ทรมานการร่ำได้กระซิกกระซิก กระทั่งเพลียและ หลับไป รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาความทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงก็ประดัง ขึ้น ความเจ็บใจในการทอดทิ้งของอาเตีย ชีวิตของเรานี้สิ้นหวัง หมดทุกๆสิ่งแล้ว คนที่รักเรามากที่สุดคนหนึ่งเช่นอาเตียก็หมดรัก หมดความสงสาร หมดความห่วงใยในตัวเราเสียแล้ว ช่างทอดทิ้ง เราได้ลงคอ สำหรับคุณยายและคุณแม่ซึ่งรักและห่วงใยเราที่สุด ก็ อยู่ห่างไกล ให้อนาทรร้อนใจต่อเราสักเพียงใด ก็เกินความสามารถ ที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยเราได้อย่างแน่นอน เพราะคุณยาย และคุณแม่พูดภาษาจีนได้บ้างนิดหน่อยเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคุณแม่ และคุณยายไม่เคยมาเมืองจีน ทั้งตำบลเฮียลี้อะไรตำบลจังหวัดและ มณฑลอะไรก็คงไม่ใส่ใจ ข้อสำคัญแม้จะว่าจ้างใครมารับก็ยากที่จะ กระทำได้ เมื่ออาเตียกลับไปเมืองไทย พบหน้าคุณยายคุณแม่ เราโดยไม่มีเราไปด้วย เราอยากรู้ นักว่าจะตอบคุณยายและคุณแม่ เราว่าอย่างไร? และคุณยายคุณแม่ก็จะร้องไห้คิดถึงเราและอนาทร ร้อนใจต่อความเป็นอยู่ของเราสักเท่าไร? หรือไม่หนอ หรืออาจจะ ร่ำร้องคิดถึงเราไม่น้อยไปกว่าที่เราคิดถึงท่านคิดถึงความรักและ ความอบอุ่นที่ท่านมอบให้แก่เราตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ที่ท่าน ทั้งสองได้เลี้ยงดูอุ้มชูถนอมกล่อมเกลี้ยงเรามาจากตัวแดงๆจนเติบ ใหญ่ขนาดนี้ เรายิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจที่ไม่เชื่อฟังท่าน ยิ่งเสียใจก็ยิ่งเจ็บ ใจตัวเอง กระซิกกระซี้ต่อไปน้ำตาที่ไหลออกมาบางครั้งก็ไม่มีสาย เลือดปะปนออกมา บางครั้งก็มีสีแดงเรื่อๆ ร้องมากขึ้นก็เพลียและ หลับไป ตื่นขึ้นมาก็จะปริเวทนาการต่อไป โดยไม่แตะต้องอาหาร ที่อาม้านำมาป้อนให้แก่เราและปลอบใจเรา อาโน้วเอ้ย อาโน้วอ่ะ เซียกๆๆ และพูดอะไรอีกมาก ซึ่งเราจำไม่ได้ เพราะเราฟังไม่รู้เรื่อง จำได้เพียงถ้อยคำซ้ำๆซากๆไม่กี่คำนี้เท่านั้น และจำไม่ได้เลยว่า เราเฝ้าปริเวทนาการดังนี้สักกี่วันกี่คืน จะเป็น 3-4 วันคืน หรือ 6-7 วันคืนก็ไม่แน่เพราะนานมาแล้ว อันว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา ความโศกเศร้าโศกาอาดูรดังที่เราได้ประสบมา ก็ต้องมีวันค่อยๆ ซ่างซาจนเข้าสู่ปกติจนได้ อโหสวรรค์จ๋า ช่างเมตตาปราณีต่อชีวิต น้อยๆของข้าน้อยนี้ให้อยู่และดำรงต่อมาอีก ตราบจนขณะนี้อายุได้ 77 ปีแล้ว ขอขอบคุณสวรรค์จนเหลือจะคณนา


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 03 กันยายน 2002.