วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน04"ถูกวัยรุ่นอายุ16-17ปีใช้เข็มขัดฟาดจนสลบ"

หลังจากที่เราไปเที่ยวกับอาเฮียหย่งซัวกลับมาตอนเย็น ทราบข่าวว่าอาเตียของเรากลับไปเมืองไทยแล้ว เราก็มีความ ว้าเหว่เสียใจ ทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปหมด ร้องไห้จนกระทั่งน้ำตา เป็นสายเลือดออกมา ต่อจากนั้นเราก็หมดสติสมประดีไป จะเป็น เวลานานเท่าไรอย่างไร เราจำไม่ได้ เรามารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็ ตอนที่อาม้าของเราซึ่งเป็นมารดาของอาเตียเราได้กอดเรา พร้อม กับบอกว่า เซี่ยกๆๆ อาโน้วเอ้ยๆเซี่ยกๆๆ เราฟังจนรู้สึกชินหูไป เลย อาโน้วหมายถึงเด็กเล็กๆที่น่ารัก เซี่ยกๆนี่หมายถึงรักมากๆ เราตื่นขึ้นมา แล้วก็หวนนึกถึงว่าอาเตียเรากลับไปเมืองไทยแล้ว แค่มาให้เรารู้จักบ้านเกิดของอาเตียเราเท่านั้น เรายังไม่รู้จักใครเลย แม้แต่คนเดียว แม้นคำพูดสักคำหนึ่งก็ไม่รู้ เพราะอาเตียพูดกับเรา เป็นภาษาไทยมาโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนกระทั่ง 9 ขวบ อาศัยที่อา เตียเรามาเมืองไทยตั้งแต่อายุ11-12ขวบ อยู่จนกระทั่ง 50 กว่า เกือบ 60 เห็นจะได้ แกจึงสามารถพูดภาษาไทยได้ไม่แพ้คนไทย คนหนึ่ง แม้นคำพูดของแกทุกคำที่เปล่งออกมาจะพูดไม่ชัดก็จริง เช่นคำว่า แม่อีหนู แกจะบอกว่า "แม่อีหลู" แกงฟักทอง แกจะบอก ว่า "แก็งฟักทง" บางมูลนาก แกจะบอกว่า "มังบุงหลัก" ดงตะขบ แกจะบอกว่า "ลงเต็กขก" เทียวไปเทียวมาแกจะบอกว่า "เทียวไล้ เทียวขื่อ" อย่างนี้เป็นต้น ทั้งนี้แม้นแกจะมาเมืองไทยหลายๆสิบปี ก็ตาม แต่ทว่าแกไม่เคยศึกษาเรื่องเมืองไทยเลย เรียนหนังสือก็ไม่ ได้เรียน เพราะฉะนั้นเรื่องคำพูดจึงพูดไม่ค่อยชัด ก็เหมือนกับคนจีน ทั่วๆไปนั่นเอง นอกจากต้องเรียนหนังสือไทย ถ้าเรียนแล้วจะรู้ว่าที่ เราพูดออกไปนั้นมันผิดจากความเป็นจริงอย่างแน่นอน อาทิเช่นอา ซาเจ๊กน้องชายของอานึ้งเรา เมื่อแกมาใหม่ๆ 4-5 ปีแกมาเป็น เสมียนของอานึ้งแกพูดไม่ชัดเลย ต่อเมื่อแกไปเรียนหนังสือไทยตอนกลางคืนซึ่งเขาเปิดสอนภาษาไทยกัน ไปเรียนได้ 3 เดือนเท่า นั้นเอง แกก็บอกว่า"กุ้ยหย่า"นึกว่าภาษาที่เราพูดนั้นขัดที่สุดที่ไหน ได้ ไปเรียนหนังสือถึงจะรู้ว่าที่พูดนั้นมันเพี้ยนไปทั้งหมดเลย เพราะ ฉะนั้นหลังจากที่เรียนหนังสือ 3 เดือนสำเร็จแล้วแกก็สามารถพูด ภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำอย่างนี้เป็นต้น หลังจากเรารู้สึกตัวแล้ว เราก็อยู่ในอ้อมกอดอาม้าต่อๆไป ซึ่งจะทำให้เราหายเสียใจ หายว้า เหว่ก็หาไม่ แค่เพียงรู้สึกว่ามันอบอุ่นกว่าปกตินิดหน่อย อาม้าแม้จะ เป็นคุณแม่ของอาเตียเราก็จริง แต่ทว่าเราก็พึ่งเห็นหน้าแกครั้งนี้ เป็นครั้งแรก จึงเป็นคนที่แปลกหน้าสำหรับเราเสมอ ความอบอุ่นจะ มีก็ต่อเมื่อแกให้ความรักความอบอุ่นเอ็นดูเรา เราก็มีความรู้สึกอบ อุ่นขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น ความเสียใจ ความอาลัย ความคิดถึงอา เตียกับคุณแม่และยายเราที่เมืองไทยรวมทั้งน้องเราด้วย น้องเราพี่ สาวเรา เราอดที่จะคิดถึง อดที่จะร้องไห้กระชิกๆ รวมความแล้วทั้ง คืน เราร้องไห้อยู่ตลอดจนกระทั่งรุ่งเช้าก็ยังร้องอยู่เรื่อย น้ำตาปน สายเลือดทั้งแห้งเหือดและหลั่งออกมาอีกและหายไปสลับกันอย่าง นี้กระทั่งสาย มิใยที่ใครจะเรียกเราไปกินข้าว แต่ทว่ากระเพาะเรา ความรู้สึกของเรามันไม่รู้สึกเลย ว่าจะเกิดความหิว ความเศร้าโศก เสียใจมันมากเกินกว่าที่เราจะรู้สึกหิว เกินกว่าที่เราจะอีนังขังขอบ กับชีวิตน้อยๆของเรานี้ เราจึงร้องไห้อยู่ตลอดแม้นใครจะเรียกไป กินข้าว อาม้าก็พยายามอุ้มเรา แกก็อุ้มไม่ค่อยไหว เพราะว่าขณะ นั้นแกอายุ 80 กว่าแล้ว ร่างน้อยๆของแกผอมจนกระทั่งเหลือแต่ หนังหุ้มกระดูก ตามปกติของผู้หญิงจีนทั่วๆไปแล้ว มิหนำซ้ำเท้าแก ยังพันด้วย "ซาชุ่งกินเน้ย" หมายถึงพันจนกระทั่งเหลือปลายเท้า แหลมๆเหลือไม่ถึงครึ่งของธรรมดา แม้นแกจะอุ้มเราไหวแกก็เดิน ไม่ไหว แม้นแต่ตัวแกเองแกก็เดินไม่ได้อยู่แล้ว เดินแล้วจะผวาล้มให้ ได้เพราะเท้าแกเหลือเพียงนิดเดียว ตั้งแต่เด็กๆซึ่งคนจีนพยายาม ให้หญิงจีนทุกๆคนพันเท้าให้เหลือนิดเดียว เห็นแล้วมันน่าทุเรศ เหลือเกิน ตอนหลังเราเห็นแกพันอยู่ทุกวันๆเช้า-เย็น เอาออกมา แล้วก็เหม็นเนื้อหนังที่มันเน่า พันอยู่มันอบมันเน่าเหลือเกินก็เลย ต้องเอายามาล้างหลายๆครั้ง พอค่อยยังชั่วแล้ว แกก็เปลี่ยนผ้าใหม่ พันให้แหลมถือกันนิยมกัน ว่าเป็นเท้าที่สวยที่เรียวงาม แต่ที่ไหนได้ ทรมานคนพันเหลือเกิน เดินก็เดินไม่ไหว เดินก็เดินอีลุกกุกกักอะไร แบบนี้ ตอนหลังนี่อย่างซี้ซิ้มเราพัน พอแต่งงานกับอาซี้เจ๊กแล้วไม่ ยอมพันเลย ไม่อย่างนั้นทำงานไม่ไหว ต้องทนเดินอีลุกกุกกัก สามีก็ ไม่อยู่ลูกก็ยังเล็ก แกเลยไม่ยอมพันซึ่งถูกพวกผู้ชายคนเฒ่าคนแก่ ด่าซะไม่มีดี แกก็ยอมให้ด่าดีกว่าที่จะพันแล้วทำงานไม่ไหวเหมือน กับอาม้าเรา ส่วนอาม้าเรานั้นเกินที่จะไปเอาออกได้แล้ว ทั้งๆที่ เหลือแต่กระดูกแหลมเฟี้ยวและสั้นนิดเดียวเท่านั้นเอง จึงจำเป็นจำ ใจต้องทำต่อไป สมัยหลังๆคนจีนจึงไม่นิยมให้ผู้หญิงพันเท้า ซึ่ง เรียกว่า"ซาชุ่งกินเน้ย" อย่างนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อแกไม่ สามารถจะอุ้มเราไปได้และเราก็ไม่ยินยอมที่จะไป ความรู้สึกหิวไม่มี ซึ่งไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เรารู้สึกว้าเหว่เสมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ เท่านั้นเอง เราจึงอดข้าวตั้งแต่เย็นวานกลับมากระทั่งเช้านี้ สำหรับอาม้าเราเห็นเราดิ้นรนไม่ยอมไปแน่ แกก็จากเราไปพร้อม กับกำชับให้คนอื่นๆมาดูแลเรา ซึ่งเราก็จำไม่ได้ว่าใครบ้างผลัดหน้า กันมาดูแลเรา ส่วนแกนั้นไปทานอาหารที่บ้านอาซี้ซิ้มบ้าง บ้านอา แป๋ะบ้าง หมายถึงว่าคนละวัน วันนี้ไปทานข้าวบ้านอาซีซิ้ม วันพรุ่งนี้ ไปทานบ้านอาแป๋ะ มันถึงจะยุติธรรม ความจริงมีลูกตั้ง 7 คน แต่อยู่ เมืองไทย 3 คน เสียไป 1 คน(นี่พูดเฉพาะผู้ชาย) ก็มีเพียง 2 บ้านที่ แกผลัดกันไปกินบ้านนี้วันหนึ่ง บ้านนั้นอีกวันหนึ่ง เป็นการเฉลี่ย อาหารการกินให้ลูกๆรับผิดชอบคนละวัน จึงจะเกิดความยุติธรรม ขึ้น สำหรับตัวเราเองจำไม่ได้ว่าไม่ได้กินข้าวไปกี่มื้อ ต่อมาไอ้ความ เศร้าโศกเสียใจก็ค่อยๆคลายลง รู้สึกว่าจะเป็นวันที่ 3 พี่ชายเราพา ไปเที่ยวจึงออกไปเที่ยวได้บ้าง แม้กระนั้นก็ดีก็หาได้ซ่างความโศก เศร้าเสียใจลงดังปกติของคนทั่วไปได้ จนวันที่10-11-12ความร่าเริง จึงกลับมาสู่เราเหมือนดั่งเช่นอยู่เมืองไทยและอยู่ที่อื่นๆทั่วๆไปกว่า ครึ่งเดือนไปแล้ว เราจึงรู้สึกว่าบ้านที่เรานอนนั้นมีอยู่ 3 เตียง และ การก่อสร้างเขาก็สร้างแบบเทปูนขึ้นมาทั้งหลัง ส่วนขื่อและจันทัน และจั่วใช้ไม้และมีฝ้าเพดาน ซึ่งฝ้าเพดานก็เจาะรูอยู่หน่อยสำหรับ เอาของเบาๆขึ้นไปเก็บบนนั้น เพราะฉะนั้นฝ้าเพดานจึงรู้สึกว่ามัน ต่ำนิดเดียว ไม่สูงเหมือนกับบ้านเมืองไทยเราเลย บ้านเมืองไทย เรานี่สูงเหลือเกิน แต่ว่าที่บ้านเมืองจีนมันต่ำๆ ทั้งนี้ทราบเหตุผลว่า เขากลัวลมแรง แต่ว่ากลัวลมแรงอย่างไรก็ตามแต่"เลี่ยงเต้ง" หรือ ที่ตากอากาศของเด็กวัยรุ่น ซึ่งเขาสร้างขึ้นมาใกล้ๆกับที่เรานอนนั่น เอง บ้านหลังที่เรานอนกับอาม้านั้น ตอนหลังถึงทราบว่าเป็นส่วน แบ่ง ของอาเตียเราซึ่งเกิดเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัวนี้ คนที่ 1 ชื่อ"อาแป๋ะเต็งเช้ง" คนที่ 2 คืออาเตียเราชื่อ"กิมเช้ง" คนที่ 3 ชื่อ"กิมกก" (เสียไปแล้ว) คนที่ 4 ชื่อ"เซ่งเช้ง" คนที่ 5 ชื่อ"เซ่งเชย" คนที่ 6 ก็เสียไปแล้ว คงเหลือแต่"เต็งเช้ง" ซึ่งเป็นอาแป๋ะเราและ "กิมเช้ง"ซึ่งเป็นอาเตียเราและคนที่ 4 ชื่อ"เซ่งเช้ง" ซึ่งเป็นสามีของ อาซี้ซิ๊มเราซึ่งบ้านอยู่หลังบ้านเรา เป็นที่น่าอัศจรรย์คือว่าแทนที่ บ้านสร้างจะหันหน้าเข้าหากัน เขาหันหลังให้กันอยู่เสมอ เป็นอย่าง นี้ทั่วไปทุกๆบ้านในเฮียลี่เราทั้งหมดนั้นที่เราผ่านไป บ้านเราอยู่ หลังริมสุด แล้วต่อไปจึงจะเป็นฮวยเตี๊ยเป็นลานเทปูนที่กว้างใหญ่ สำหรับเป็นที่ชุมนุมหรือเป็นลานที่ใช้นวดข้าวหรือตากของอะไร เนี่ย เป็นของส่วนกลางของเฮียลี่ เป็นลานกว้างซึ่งอยู่ที่หน้าบ้าน เรา ส่วนทางขวามือนั่นมีสะพานข้ามคลอง คลองนี้ไม่เคยแห้งเลย มีแต่น้ำขึ้นกับน้ำลงเท่านั้นเองไม่เคยแห้งเลย มีสะพานสูงๆข้ามไป อีกเฮียลี่หนึ่งก็เฮียลี่เดียวกันแต่ว่าข้ามคลองไปสู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งเรา จะไปนาจะต้องเดินผ่านสะพานข้ามคลองอันนี้ไปเสมอ โดยให้ควาย เดินข้างล่างแล้ว เราขี่ไปแต่ถ้าเราจะเดินข้ามเองเราก็เดินข้ามบนสะพานไป ส่วนมากเราจะขี่ควายให้ควายบุกน้ำไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง เพราะควายตัวใหญ่ถ้าหากให้ข้ามสะพานนี้ทุกทีๆก็เกรงสะพานจะ ไม่คงทน ผู้ใหญ่จึงบังคับให้ควายต้องเดินข้างล่างอย่างนี้เป็นต้น ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็น"เลี่ยงเต้ง" เข้าใจว่ามี 6 เสาหรือ 9 เสาราวๆนี้ เป็นเสาชะลูดสูงขี้นไปและใช้ต่อกัน 2 หรือ 3 เสาจำไม่ได้เลย เราอยู่ บ้านเรามองไปที่"เลี่ยงเต้ง" รู้สึกว่าจะคอตั้งบ่าทีเดียว เฉพาะบันได ต่อกัน 3 ทอด เป็นบันไดไม้ไผ่แต่ละทอดจะต้องมีเสาชะลูดๆเส้น ผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้วปักขึ้นไป บันใดไม้ไผ่นี่ก็ชันเสียเหลือ เกิน ชันมากเลยทีเดียว"เลี่ยงเต้ง" เข้าใจว่าเป็น 9ต้นมิฉะนั้นมันจะ ต้านทานลมไม่ได้ แม้นจะทำกันแน่นหนายึดกันถึงขนาดนี้ แต่ว่า ตามประวัติที่เขาเล่ามาทราบภายหลังว่าเคยถูกลมพัดล้มไปที ถึง กับต้องมาซ่อมแซมกันใหม่"เลี่ยงเต้ง"นี่นิยมขึ้นไป เฉพาะวัยรุ่น เท่านั้นเอง คนเฒ่าคนแก่ไม่มีสิทธิขึ้นไปและไม่นิยมขึ้นไป นอกจาก คนเฒ่าคนแก่บางคนที่ใจกล้าที่จะขึ้นไปได้ ส่วนเรานี่กลัวเหลือเกิน ไม่กล้าขึ้นไปเลย แต่ก็จำได้ว่าขึ้นไปอยู่ครั้งหนึ่ง ต่อมาจากนั้นประ มาณสักเกือบเดือน พี่ชายเรายุให้เราขึ้นบันไดก่อน แล้วแกก็คร่อม เราค่อยๆขึ้นไป อาศัยที่เราเคยขึ้นต้นไม้อยู่บางมูลนากมาก่อนสูงๆ แต่ก็ยังไม่เคยสูงถึงขนาดนี้ นี่มันสูงมากจริงๆ เรากลัวจะตายแล้ว พี่ชายเราชื่อเฮียย่งซัวให้กำลังใจและบังคับให้ขึ้นให้ได้ จำได้ว่าขึ้น ไปครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและรู้สึกว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้ขึ้นไปอีก เลยเพราะมันสูงมากเรากลัวความสูง ขึ้นไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่า กลัวจะตาย ลมแรงพัดแล้วพัดอีก พัดกระโชกๆๆเย็นดีก็จริง แต่ ทว่าทำให้"เลี่ยงเต้ง"นั้นโอนไปเอียงมาอยู่ตลอดเวลา แต่อาศัยที่เขา ยึดอยู่หลายช่วง ใช้ทั้งเชือกยึด ทั้งเสายึด จึงทำให้เลี่ยงเต้งนั้นคง ทนอยู่ได้นานหน่อย เราขึ้นไปแล้วก็มีเด็กวัยรุ่นอายุ 16-17 ปีคน หนึ่งได้มาท้าเรา พูดอะไรเราก็ไม่รู้จำไม่ได้ว่าพูดว่าอะไรพูดแล้วก็ ยิ้มเยาะแล้วยิ้มเยาะอีกไม่ประสงค์ดีเลย เยาะจนกระทั่งเราเกิดโม โหขึ้นมา เอ๊ะนี่มันเป็นอะไรนี่ถึงต้องมาอย่างนี้ ประเดี๋ยวทำท่าจะ เตะเดี๋ยวทำท่าจะต่อย เราก็เลยด่ามันเป็นภาษาไทย มันก็ด่าเรา เป็นภาษาจีนตอนนั้นเราฟังไม่รู้ไปรู้เอาที่หลัง รู้สึกว่าเอแปลกเราก็ ไม่รู้มันไม่ประสงค์ดีกับเรา ทำท่ายวนอย่างนั้นยวนอย่างนี้ เราก็ด่า มันเรื่อย มันโมโหขึ้นมามันเอามือจะตบเราพี่ชายเราก็จับเข้าไว้ พี่ ชายเราตอนนั้นสัก 20กว่า ไอ้นี่มัน 16-17ปี ทราบภายหลังว่า ครอบครัวนี้มีผู้ชายตั้ง 6-7 คน เป็นครอบครัวเฉี่ยว คำว่าเฉี่ยว หมายถึงว่าเป็นนักเลงมีคนเกรงกลัวมาก เพราะว่ามีผู้ชายมาก ออกลูกมาเป็นผู้ชายเขาถือว่า เทียมเต็ง คำว่าเต็ง หมายถึงลูกชาย ที่เป็นกำลังสำคัญของบ้าน เพราะฉะนั้นมีเต็งตั้ง 7-8 คนจึงรู้สึกว่า ครอบครัวเขาทั้งบริบูรณ์มีอันจะกินและมีพลังเป็นลูกชายมาก คน ในเฮียลี่จึงพากันเกรงกลัว ทั้งอำนาจเงินและอำนาจพลังทางที่มี ลูกชายมาก ขณะที่เราด่ามันแล้วมันก็ทำท่ายวนยี พี่ชายเราห้าม มันก็ไม่ฟัง มันถือว่ามันเฉี่ยว มีคนเกรงกลัวมันมีคนสยบให้มัน ทั้งนั้น ทั้งเฮียลี่เลย ทั้งหมู่บ้านเลย มันก็เลยเกิดความลำพองใจ ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ทั้งนั้น ส่วนเราเองก็ไม่เคยสยบให้ใคร ยังทรนงตัวเองว่าเราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ ลดไม่ละ ไอ้ความไม่ลดไม่ละอันนี้ก็ถึงจุดหนึ่งที่มันทนไม่ไหว มันจึง เอาเข็มขัดที่มันถือมาฟาดควับมาทางเราทันที เราจึงรู้สึกวูบไปไม่รู้ ว่าเราไปที่ไหน ตัวเราเป็นอย่างไรอยู่ที่ไหน ไม่รู้สึกเลย คล้ายๆกับ ฝันไป มารู้สึกอีกทีหนึ่งก็อยู่ในอ้อมกอดของอาม้าเราเป็นเคารบสอง ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ล่ะเราพลัดบ้านพลัดเมืองมา คุณพ่อเราก็ใช่ว่า เป็นคนมั่งมีจนคนยำเกรงก็เปล่า เรารู้สึกคิดถึงบ้านเมืองไทยใจ แทบจะขาด อาเตียจ๋า แม่จ๋า ยายจ๋า ทำไมปล่อยให้ลูกหลานมาถูก เขารังแกอย่างนี้ อาม้าเราก็มีอยู่อย่างเดียวที่ว่า อาโหน๊วเอ๊ยๆ เซี่ยกๆๆ มีอยู่แค่เนี่ยะ พร้อมกับกอดเราและน้ำตาไหลรินสงสาร เรา ซึ่งความรักที่แกมอบให้เรา เรารู้สึกซาบซึ้งเหลือเกิน แต่เราก็ อดที่จะคิดถึงบ้านไม่ได้ จนกระทั่งสว่างเราก็ร้องไห้กระซิกๆๆ แต่ ไม่เสียใจมากเหมือนกับครั้งแรกที่อาเตียจากเราไปโดยที่เราไม่รู้ภาษา จีน ขณะนี้เราพอรู้อะไรๆบ้างแล้ว พอที่จะฟังเขาพูดได้ และทราบซึ้ง ในความรักของอาม้าเรา แต่สิ่งที่เราอดนึกถึงไม่ได้ เลี่ยงเต้งสูง ขนาดนั้นแล้วเราสลบไป ใครที่จะสามารถเอาเราทั้งๆที่เราหมดสติ อยู่อย่างนั้นลงมาได้ ข้อนี้เป็นที่อัศจรรย์ใจ ถามเขาเขาก็บอกเอาลง มาได้ก็แล้วกัน เนี่ยะเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจซึ่งเราไม่รู้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เพราะมันสูงเหลือเกินถึงขนาดคอตั้งบ่า แม้นเขาจะประกอบไปด้วย ไม้ซุงชะลูดๆตั้งหลายอันต่อหลายอันไขว้ไปไขว้ มาเพื่อความแข็ง แรงก็จริง แต่ว่ามันสูงเหลือเกิน แล้วไม่ใช่ว่ามีเป็นชั้นๆขึ้นไป เปล่า เลยชะลูดขึ้นไปแล้วก็มีชั้นบนเพียงชั้นเดียวเท่านั้นเอง สำหรับให้ เขาไปจับปี่สีซอกันแล้วก็ร้องเพลงจีน ซึ่งเราไม่มีความรู้แล้วก็ร้อง ไม่ได้แม้แต่คำเดียว คืนนั้นแม้นเราจะร้องไห้ แม้นเราจะคิดถึงตัว เอง แม้นเราจะคิดถึงเมืองไทย แต่ก็ไม่มากเท่ากับคืนที่อาเตียเรา จากไปเลย ซึ่งมันผิดกันอย่างฟ้ากับดิน เราเที่ยวนี้เพียงแต่เจ็บเท่า นั้นเอง ส่วนใจเราก็เจ็บบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะไม่ได้มีการต่อสู้อะไร กัน เราถูกข่มเหงข้างเดียว ปกติเราก็เป็นคนหัวโตร่างเล็กอยู่แล้ว ประกอบกับคนอายุ16-17 เขาอวบใหญ่ ซึ่งมันสู้กันไม่ได้อยู่แล้ว เป็นธรรมดา เราพยายามสอบถามผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้บอกเรา พูด แต่ว่าเขามีปัญญาเอามึงลงมาได้ก็แล้วกัน ซึ่งเด็กๆรุ่นราวคราว เดียวกับเราตอนหลังๆก็พยายามถามมันก็ไม่เคยมีใครเห็นเราลง มา ถามอาเฮียย่งซัวพี่ชายเราก็บอกเราไม่ต้องไปรู้หรอก แต่จำไว้ ว่า มึงอย่าไปด่ากับมันเชียวนะทุกๆคนในเฮียลี้เรากลัวมันหมด ทุกๆคน เพราะฉะนั้นอย่าไปทำให้มันโมโหอีกไม่อย่างนั้นจะเจ็บตัว ฟรี เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้และเราก็ได้รับความเมตตากรุณาจาก อาม้าเราที่พึ่งคนเดียวของเรา ซึ่งแกก็ไม่มีสติปัญญาอะไรที่จะไปสู้ รบปรบมือกับใครเลย แกก็ได้แต่ปลอบเราให้ความรัก ให้ความเอ็น ดูกับเราเท่านั้นเอง นับเป็นที่พึ่งอันเดียวและอันสุดท้ายของเราใน ขณะนั้น โถ่พ่อจ๋า แม่จ๋า ยายจ๋า ใยจึงทิ้งเราไว้คนเดียวที่เมืองจีน อย่างนี้ช่างไม่คิดถึงเราเลยหรือจ๊ะ


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.