วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน05"อาม้าของเราถึงแก่กรรมเพราะโรคชราและวิธีทำศพ "

หลังจากเรามีความสุขอยู่กับอาม้าคนเดียวของเราในขณะนั้น เป็นเวลาไม่นานนัก เช่นอาม้าจะไปทานข้าวจะต้องเอาเราไปเสมอ ตามธรรมเนียมอยู่เมืองจีนมีลูกกี่คนจะเลี้ยงพ่อแม่ ก็ต้องไปกินที่ ลูกคนโตก่อนวันหนึ่งแล้วลูกคนรอง แล้วลูกคนที่สาม ลูกคนที่สี่ ลูก คนที่ห้า ลูกคนที่หก แต่ว่าพี่น้องของอาเตียเรามีอยู่ทั้งหมดหกคน สำหรับผู้หญิงเขาไม่ถือเพราะมีครอบครัวแล้ว ก็ไปอยู่กับบ้านสามี เขา ไปเป็น"ปักหนั่งเกสิ่งไส้" ซึ่งเขาไม่คิดว่าลูกผู้หญิงเป็นลูกคน หนึ่งของครอบครัวเลย คงถือว่าเป็น"ปักหนั่งเกสิ่งไส้"เท่านั้น พี่น้อง ของอาเตียเรามีอยู่หกคน คนโตชื่ออาแป๋ะเต็งเช้ง คนรองคืออาเตีย ของเราชื่อกิมเช้ง คนที่สามชื่ออะไรเราก็ไม่รู้จักเพราะเสียไปตั้งแต่ ตอนเด็กๆ คนที่สี่ชื่อ เซ้งเช้ง คืออยู่ที่บ้านกะทุ่ม เวลานี้ซึ่งมีลูก 6-7 คน เช่นพี่สาวเรา ชื่อเจ๊เปา รองลงมาก็เมียด รองลงมาก็หย่งไฮ้ รองลงมาก็เข อีกคนก็ดำ แล้วก็หย่งบั๊ก สำหรับครอบครัวของคนที่ สี่มีแค่นี้ คนที่ห้าชื่อเซ่งเซย อยู่ที่บ้านผักไห่จังหวัดอยุธยามีลูกคน โตชื่อหย่งง้วน คนรองเป็นผู้หญิงชื่อมะลิ คนที่สามชื่อสมบูรณ์ คนที่ สี่ชื่อวีระ ครอบครัวของคนที่ห้ามีแค่นี้ สำหรับคนที่หกได้เสียชีวิตไป ตั้งนานแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สำหรับที่ เมืองจีนมีอยู่เพียง 2 ครอบครัวเท่านั้นคือ ครอบครัวอาแป๋ะเต็งเช้ง และครอบครัวของคนที่สี่ชื่อเซ้งเช้ง ซึ่งมีอาซี้ซิ้มอยู่ ลูกที่เมืองจีนมี ผู้ชายคนโตชื่อแป๋ะงึ้ง คนรองเป็นผู้หญิงชื่อฮวงกัวะ คนที่สามเป็นผู้ หญิงชื่อฮวงกวย ซึ่งขณะนี้อยู่พระโขนง สำหรับคนที่ห้าก็เช่นเดียว กัน ไม่มีครอบครัวอยู่เมืองจีนมีแต่ครอบครัวที่เมืองไทยเท่านั้น ฉะนั้นอาม้าก็เลยต้องไปกินอาหารที่อาแป๋ะเต็งเช้งวันหนึ่ง แล้วก็มา กินที่คนที่สี่ชื่อเซ้งเช้ง คืออาซี้ซิ้มวันหนึ่ง เราก็พลอยไปทานอาหาร กับอาม้าทุกๆวัน สำหรับเมืองจีนเขากินอาหารวันหนึ่ง 2 มื้อเท่านั้น สำหรับมื้อกลางวันนี่ไม่ได้กินกันเลย และการทานอาหารนั่นก็คือ ทานแต่ข้าวต้มตลอดและมีเกี่ยมฉ่าย ไช้โป้วเป็นอาจิณ สำหรับ อย่างอื่นนานๆถึงจะมีสักครั้งหนึ่ง เช่นอาเตียเราไปก็จะให้อาแป๋ะ เต็งเช้งไปตลาด ตลาดเขาเรียก"เตียมเกี๋ยเฉ้า" ไปซื้อห่าน ซื้อเป็ด ซื้ออะไรต่ออะไรมาก็ได้ กินกันสักครั้งหนึ่งอย่างนี้เป็นต้น เราไปกิน กับอาม้าเราส่วนมากจะได้กินอาหารก่อนใครทั้งหมดคือว่ามีเพียงอาม้า กับเราสองคนกินกันเท่านั้น ฉะนั้นอาหารจึงเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ดี มีความสุขในการกินอาหาร เป็นความสุขที่เราทานอาหารกับอาม้า ก็มีเพียงระยะสั้นๆเท่านั้นเอง ต่อมาอาม้าก็ล้มป่วยลง ซึ่งเราเล็กๆ เราก็ไม่ทราบว่าแกเป็นอะไร อยู่ๆก็ครางฮือๆๆ พอผู้ใหญ่มาเห็นก็ จัดแจงหาหมอมารักษา รักษาได้ไม่เท่าไหร่อาการก็ไม่ดีขึ้น ฉะนั้น จึงพาไปอยู่ที่แคะเทีย ซึ่งก็คือสถานที่กองกลางของหมู่บ้านใครเจ็บ ใครป่วยอะไรจะต้องหามไปไว้ที่นั่น ซึ่งอาม้าเราก็ไม่หนีจะต้องไปที่ นั่นอยู่ประมาณสัก 2 วันหรือ 3 วัน อาม้าเราก็ถึงแก่กรรม สิ้นอาม้า เสียแล้วอาหารการกินของเรารู้สึกว่าจะมีปัญหาขึ้นมา แต่ว่างานทำ ศพอาม้า ซึ่งทุกๆแห่งจะต้องทำกันอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ทำศพอาม้าอยู่นี่ อาหารการกินก็พอผั่งไผ่ ก็คืออุดมสม บูรณ์ เมื่ออาม้าถึงแก่กรรมแล้วผู้ ใหญ่เตรียมงานกันอย่างมโหฬาร อย่างโกลาหลเลยทีเดียว ตัดเสื้อผ้าด้วยผ้าติ้ว ซึ่งก็คือผ้าสีมอๆ ที่ เมืองไทยเราขณะนี้ที่คนมั่งมีเขาทำกงเต็กกัน เขาจะต้องให้คนที่ สนิทที่สุดเป็นหลานที่สนิทที่สุดจะต้องนุ่งห่มติ้ว และใส่หมวกติ้ว เหมือนกันทุกคน เฉพาะเมืองจีนนั้นหลานทุกคนจะต้องใส่ชุดติ้วนี่ ทั้งหมดเลย จำได้ว่าวันหนึ่งจะต้องไปร้องไห้ที่ศพ ซึ่งมีเจ้าพิธีกรรม มาทำพิธีกัน เขาเรียกกันว่าเป็นพระอะไรอย่างนั้นซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าพิธี กรรมมันเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือน พิธีทำกงเต๊กที่ เมืองไทยเรานั่นคงไม่ผิดจากนี้ ตื่นเช้าจะต้องไปเข้าพิธีกรรมก็คือ เมื่อเขาสวดเสร็จพวกเราลูกหลานทั้งหมดเป็นร้อยคนจะต้องส่ง เสียงร้องไห้กันขึ้นมา ผู้ใหญ่จะนำก่อน ขณะนั้นเรายังเป็นเด็กเรา ยังไม่รู้จริงๆว่าผู้ใหญ่เขาพูดกันอย่างไร ได้ยินแต่เสียง โฮๆๆ เราก็ โฮตาม ซึ่งการร้องโฮๆนี่มีทั้งหมดตอนเช้าก็ประมาณ สัก 7 ครั้ง ร้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิธีกรรมเขาก็ทำของเขาต่อไป พอได้ที่แล้ว เขาก็ให้พวกเรานั่งคุกเข่าลงไปแล้วก็ร้องไห้โฮๆๆต่อ ไปอีกเป็น การร้องไห้ไว้อาลัยแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ รู้จริงๆว่าทำอย่างนี้แปลว่าอะไร ต่อมาดูเหมือนจะเป็นวันที่ 7 ผู้ ใหญ่เขาก็มาถามว่าอาหย่งจั๊วเอ้ย ลื้อรู้ไหมว่าเขาทำพิธีอะไรแล้ว ลื้อพูดว่าไงบ้าง เราก็ตอบไปตามซื่อก็บอกโฮ อั๊วก็โฮไปอย่างเนี้ยะ พอตอบไปแล้ว ผู้ใหญ่เขาก็หัวเราะฮากันครืนใหญ่เลย ขำในการที่ เราตอบไปซื่อๆ ซึ่งไม่รู้ว่าตอบไปผิดหรือถูก เราก็รู้สึกงงเป็นการ ใหญ่ต่อมาผู้ใหญ่ก็อธิบายให้เราฟังว่าเป็นการไว้อาลัยให้แก่อาม้าหรือ คุณแม่ของอาแป๋ะ พวกลูกๆทั้งหมด ถ้าผู้ที่ถึงแก่กรรมเป็นแม่ ผู้ ใหญ่เขาก็จะว่า ไอ้โอ่ๆๆ คำว่าไอ้แปลว่าคุณแม่ โอ่นี่เป็นการไว้ อาลัย เหมือนกับพูดว่าคุณแม่เจ้าขาๆในภาษาไทยเรานั่นเอง สำหรับหลานๆก็จะเรียกว่าอาม้าโอ่ๆๆ พูดกันไปอย่างนี้ แต่สำหรับ เราแล้วเราไม่รู้จริงๆ ไม่มีใครมาแนะนำเรา และขณะนั้นเราก็ยังพูด ภาษาจีนไม่ค่อยได้ ผู้ใหญ่เขาก็น้ำตาไหลกัน เด็กๆบางคนก็น้ำตา ไหลแต่เราไม่รู้สึก ไม่มีน้ำตาออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่าเรา ไม่อาลัยต่ออาม้า อาม้าของเราเป็นคนเดียวที่อยู่เมืองจีนขณะนั้น รักและสงสารเรามากที่สุด ฉะนั้นเราย่อมมีความอาลัย แต่ว่าไม่รู้ ธรรมเนียมเขาว่าจะต้องร้องไห้ จะต้องไว้อาลัยอย่างไร ไม่มีใคร แนะนำเราเลย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีน้ำตาให้แก่อาม้า ต่อมาเป็น วันที่ 7 ในวันนั้นเรารู้แล้ว เรารู้สึกว่าเป็นวันสุดท้ายที่เราทำได้ถูก ต้อง เป็นการไว้อาลัยในวันสุดท้ายคือ 7 วัน ต้องไปร้องไห้ทำพิธี กรรม อย่างนี้เป็นวันละ 3 เวลา คือ เช้า กลางวัน เย็น ส่วนตอน กลางคืนพิธีกรรมเขาก็จะมีสวดและตีป๊อกๆตีเค้งๆอะไรกัน ซึ่ง ขณะนั้นเราไม่รู้เรื่องจริงๆ เราก็เล่นตามภาษาเด็กของเราไปเรื่อยๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าสวดเช้า กลางวัน เย็นอยู่ 7 วัน แล้วต่อไป สวดเช้า ต้องไปเข้าพิธี เช้ากับเย็นอีก จนครบ 15 วันหรือหนึ่งเดือน อะไรเราก็จำไม่ค่อยได้มันนานมาเต็มทีแล้ว หลังจากนั้นจึงได้ ทำพิธีไปที่พุ้ง ก็คือฮวงซุ้ยที่นำอาม้าเราไปฝังไว้ที่นั่น อยู่เมืองจีน เขาเรียกพุ้งซึ่งขณะนั้นเราก็ไม่รู้ มาเมืองไทยเมื่อเรียนหนังสือแล้ว ถึงจะรู้ว่าเขาเรียกผุ่งหมอ การแห่ไปก็ทำกันอย่างโกลาหลเลยคนทั้ง เฮียลี่ทั้งหมู่บ้านมากันทั้งหมด เพราะเป็นพี่น้องกันทั้งหมด เป็น ญาติกันทั้งหมดเลย ซึ่งเป็นวันสำคัญจึงพากันไปเหลาะจึ่ง ก็คือเอา อาม้าเราลงไปฝังไว้ในผุ่งหมอ ที่เขาทำไว้อย่างสวยงามนั่นเอง พิธีกรรมตรงนี้เราก็รู้สึกลืมเลือน จำได้บ้างไม่ได้บ้างจึงไม่ขอบันทึก ไว้ดีกว่าและขอจบการที่อาม้าเราถึงแก่กรรมและพิธีกรรมตลอดจน แห่แหนกันด้วยหล่อโก้วและอะไรอีกมากมาย ซึ่งเราจำไม่ค่อยได้ จนกระทั่งไปฝังในที่นาของครอบครัวเราเอง โถ่เอ๋ยในที่สุดเราก็สูญ เสียอาม้าซึ่งเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวของเรา ต่อไปนี้ชีวิตเราจะเป็น อย่างไรจะระเหเร่ร่อนไปถึงไหน จะได้รับความลำบากหรือได้รับ ความอยุติธรรมอีกสักแค่ไหน เราก็ไม่สามารถจะประเมินตนเองได้ อาม้าครับไปสู่สุคติเถอะครับ ตี๋อยู่ทางนี้ก็จะเผชิญชะตากรรมอย่าง ไร ก็ไม่สามารถรู้ชะตากรรมตนเองได้ ทวดจ๋า แม่จ๋า ยายจ๋า อาเตีย จ๋า ช่างใจร้ายเอาเรามาทิ้งที่นี่อยู่คนเดียวได้ มันช่างอ้างว้างเปล่า เปลี่ยวเสียเหลือเกิน คิดขึ้นมาแล้วเศร้าใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี น้ำตาก็อยากจะไหลรินออกมา แต่ ต่อไปนี้จะมีใครมาคอยปลอบเรา ถ้าอาม้าอยู่แกก็ยังปลอบโยนเราบ้าง ถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรเรามาก นัก บัดนี้อาม้าได้จากไปแล้ว ส่วนเราก็จะต้องเผชิญชะตากรรมต่อ ไป คิดๆขึ้นมาแล้วก็ให้คิดถึงอาม้าของเราและเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ก็คือคิดถึงเมืองไทย คิดถึงแม่และยายอันเป็นสุดที่รักของเรา ซึ่งเรา ก็ตั้งใจไว้ว่า เราจะต้องกตัญญูกตเวทีแก่แม่และยายให้มากที่สุด ส่วนอาเตียเรานั้นเรารู้สึกเศร้าใจและเสียใจเหลือเกินที่แม้นแกจะรัก เราเพียงใดก็ตามแต่ แต่เอาเรามาทิ้งไว้ในที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวตัว คนเดียวอย่างในขณะนี้นั้นมัน ช่างแสนทุกข์ทรมานเสียเหลือเกิน เราพึ่งจะมาทราบตอนหลังว่าที่อาเตียเอาเรามาปล่อยไว้ในบ้านเกิดของ แกก็เพื่อให้เราสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป โดยแกได้กำชับให้อาแป๊ะส่งเรา ให้เรียนหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วแกก็จะส่งโพยมาให้ ตลอดเวลาที่เรายังอยู่ที่นี่ แต่แล้วอนิจจังอนิจจา เรามานี่ตั้งหลาย เดือนแล้วเกือบ 2 เดือนแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะมีโรงเรียนที่ไหนใน หมู่บ้านนี้ ได้ยินแต่เขาเล่าเรียนกัน แต่โรงเรียนอยู่ตรงไหนเราก็ไม่รู้ อาเตียเราคงจะฝันค้างเป็นแน่ ซึ่งในขณะนั้นเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า แกต้องการเอาเราให้มาเรียนหนังสือเพื่อจะสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป เรา เศร้าและเสียใจเป็นที่สุด อ้างว้างก็ปานนั้น มืดมนในอนาคตของตัว เองก็ปานนั้น แต่น้ำตาเราจะไม่ยอมไหลออกมาอีกเป็นอันขาด เรา จะแสดงความอ่อนแออย่างที่แล้วๆมาไม่ได้ เราจะต้องเข้มแข็ง เรา จะต้องต่อสู้ แม้นว่าอนาคตจะมืดมนสักปานใดก็ตาม แต่เราจะต้อง ต่อสู้ เราจะต้องอดทน แม้นว่าเราจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่มีใครหรืออะไรหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนที่จะมาช่วยเราได้ อย่าง คราวที่แล้วเป็นต้นตอนอาเตียเราไป หรือตอนที่เราถูกฟาดด้วยเข็ม ขัดจนสลบไป แม้นเราจะร้องไห้กระซิกๆ ก็ไม่มีใครที่จะมาช่วย เหลือเราได้ ใจชื้นอยู่หน่อยก็คืออาม้าได้กอดรัดเราด้วยความสงสาร และให้กำลังใจแก่เราก็เท่านั้นเอง ซึ่งไม่มีประโยชน์เลย ฉะนั้นต่อไป นี้เราจะต้องเข้มแข็ง เราจะไม่ให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอมาสู่เราเป็น อันขาด เราตั้งใจเด็ดเดี่ยวจะไม่มีเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น เราจะต้อง เผชิญชะตากรรมด้วยตนเอง ด้วยชีวิตน้อยๆของเราซึ่งอายุเพียง 9 ปีนี้เท่านั้น อาม้าจ๋าอาม้าจงไปสู่สุคติเถิดและช่วยส่งใจมาให้กำลัง ใจเรานี้เข้มแข็งอย่างตอนนี้ตลอดไป ยายจ๋า แม่จ๋า อาเตียจ๋า ลูกอยู่ ห่างไกลนี้จะขอต่อสู้ต่อไปต่อไป ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เศร้าใจ จริงๆ


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.