วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน06 "เผชิญวิบากกรรมอันเลวร้าย"

เมื่อสิ้นอาม้าแล้วตามธรรมเนียมจีนโบราณมีว่า "เจียซี้อี้ กงม่าอุ่ยไป่ เหลาะเอ๋อีแป๊ะล่ออุ่ยตั่ว ไจ้เลาะอีเฮียซ่ออุ่ยเจี้ยง" เป็นธรรมเนียมและประเพณีที่ถือกันมาอย่างเคร่งครัดตั้งแต่สมัยโบราณ ติดต่อมาเป็นพันๆปีแล้ว ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า "เบื้องบนมีคุณปู่ คุณย่าเป็นที่บูชาของครอบครัว ลดหลั่นลงมามีคุณพ่อคุณแม่เป็น ที่เคารพของครอบครัว เบื้องต่ำลงมาอีกมีพี่ชายพี่สะใภ้เป็นใหญ่ ในครอบครัว" ซึ่งประเพณีนี้ได้ถือปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดเป็นเวลา หลายๆพันปีมาแล้ว จะเห็นได้ว่าเมื่ออาเตียเรามาก็ยกย่องอาแป๊ะ เป็นใหญ่ มีอะไรจะต้องถามอาแป๊ะอยู่เสมอๆ แม้นว่าอาเตียเราจะ เป็นผู้มีความภูมิฐานเป็นสง่าราศีแสดงถึงมีอำนาจเงินเป็นใหญ่ใน เมืองจีนขณะนั้น ส่วนอาแป๊ะรูปร่างเล็กกระจอกงอกง่อยเหมือนกับ กรรมกรในเมืองไทยเราที่ใช้แรงงานเป็นใหญ่ พูดจากันอย่างชนิด มึงมาพาโวยซึ่งไม่ได้รับการศึกษา การพูดการจาก็ไม่มีสำนวนแห่ง การศึกษาที่แสดงว่าเป็นผู้มีภูมิหรือเป็นผู้มีอำนาจเลย คล้ายๆเป็น แพะรับใช้ตลอดมาอย่างไงอย่างนั้นซึ่งเปรียบกับอาเตียเราแล้วผิดกัน มาก แต่เมื่ออาเตียเรามาก็จะต้องให้ความเคารพแก่อาแป๊ะเราเสมอ แม้นที่สุดซึ่งแกไม่มีความภูมิฐานอยู่ในตัวเลยแต่ตามประเพณี แล้วอาเตียเราจะต้องให้ความเคารพอาแป๊ะ ฉะนั้นมีอะไรก็ต้องอา แป๊ะก่อน ถามถึงคนอื่นๆเป็นอย่างไรอาแป๊ะจะต้องรายงานคนใน ครอบครัวมีอะไรและเป็นอย่างไรบ้าง และการแจกของอาเตียเราก็ ต้องให้อาแป๊ะเป็นคนเลือกก่อน เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะมาอา ซี้ซิ้ม แล้วถึงจะมารุ่นหลานๆ แล้วถึงจะเป็นญาติพี่น้องคนอื่นๆ เมื่อ ได้แจกกันเสร็จแล้วก็จะต้องให้เด็กเด็ก ส่วนมากก็ให้ขนมนมเนยที่ เขาเอามาให้นั่นแหละ แจกให้กับเด็กๆภายในหมู่บ้านนั่น หรือที่อื่น มารับแจกก็ต้องแจกให้หมดทุกๆคน แสดงถึงความเป็นผู้มีน้ำใจ โอบอ้อมอารีอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างช้า นานซึ่งนับเป็นพันปีหรือหลายพันปีเราก็ไม่รู้ ซึ่งในขณะนั้นเราไม่มี ความรู้ในเรื่องนี้เลย ที่รู้นี่รู้ตอนที่เราได้รับการศึกษาภาษาจีนใน ภายหลัง จึงได้รำลึกถึงในขณะนั้น ประเพณีเป็นมาแบบที่ได้กล่าว มาแล้ว เมื่อสิ้นบุญอาม้าแล้ว เราก็เคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก แม้นแต่ การกิน ซึ่งไปกินกับอาแป๊ะวันหนึ่งและมากินกับอาซี้ซิ้มวันหนึ่ง แต่ ว่าแทนที่จะได้กินก่อนเหมือนกับที่กินกับอาม้าไม่ใช่เสียแล้ว อา แป๊ะอาอึ่มเขาเรียกไปกินเราถึงกินได้ เมื่อคนอื่นกินกันหมดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ส่วนผลัดที่มากินกับอาซี้ซิ้มวันหนึ่งนั้น อาซี้ซิ้มเรียก เราไปกินพร้อมกันเลยกับลูกแก มีอยู่ 3 คนคือคนโตชื่อแป๊ะงึ้ง ซึ่ง เป็นพี่สาวเราโตกว่าเราและคนรองลงมาชื่อฮวงกั๊วะและเป็นพี่สาวเรา โตกว่าและเราเหมือนกัน คนน้องเล็กสุดชื่อฮวงกวยซึ่งเป็นน้องสาว เราเพราะอายุอ่อนกว่าเรา ฮวงกวยขณะนี้อยู่ที่พระโขนงมีลูกหลาย คน คนโตชื่อเอี้ยมกวง ผู้ชายคนรองชื่อเอี้ยมชั้ง ซึ่งคนทั่วๆไปเรียก ว่าช้าง ส่วนผู้หญิงมีหลายคนมี บุ่งเอง หุ่ยจู และผู้หญิงอีก 2 คน ซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ ขณะนั้นเหตุการณ์ได้พลิกผันไปเป็นอย่างมาก จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เมื่อสิ้นอาม้าซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของเราเสียแล้ว อาซี้ซิ้มแม้จะมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อเราแต่ก็ไม่มีอำนาจ ที่จะไปขัดกับอาแป๊ะได้ ต่อมาอาแป๊ะก็เริ่มเล็งเห็นประโยชน์ที่จะ เอาลูกของแกเข้าเรียน ลูกของแกมีทั้งหมดหลายคน คนโตชื่อหย่ง ซัว รองลงมาหย่งอ๊อ อาเง็ก อาอั้ง หย่งบัก หย่งบักอ่อนกว่าเรานิด หน่อย ซึ่งคนโตๆเขาก็ทำงานบ้าน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่จะไปรับ จ้างหาเงินเข้าครอบครัว เช่นเฮียหย่งซัว หย่งอ๊อเป็นต้น ส่วนไป เลี้ยงควายนั้นเดิมทีเป็นหน้าที่ของอาเจ๊อั้งและหย่งบัก 2 คน เพราะ ควายมี 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นควายแก่อีกตัวหนึ่งเป็นลูกควาย อาอึ่มเริ่ม เห็นประโยชน์ที่จะใช้เราโดยเอาลูกของแกชื่อหย่งบัก ไปเข้าเรียน หนังสือ ส่วนเราให้ไปเลี้ยงควายเฒ่าตัวใหญ่แทนหย่งบัก ส่วนอาเจ๊ อั้งนั้นเลี้ยงลูกควายตัวเล็ก ซึ่งเป็นลูกควายเกือบจะรุ่นขึ้นมา ขณะ นั้นเราไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะเรียนหนังสือเลย เพราะอาเตียเคย บอกว่าเรามาอยู่เมืองจีนสักพักแล้วจะให้เรียน แต่เรายังไม่เคยเห็น ว่ามีโรงเรียนที่ไหนเลย ต่อเมื่อมาเลี้ยงควายเฒ่าแทนอาหย่งบัก แล้วถึงจะรู้ ทุกๆวันที่เราขี่ควายจะต้องผ่านโรงเรียน เราก็เริ่มสนใจ ในเรื่องโรงเรียนขึ้นมา กิจวัตรประจำวันของเราในขณะนั้นซึ่งอาแป๊ะ อาอึ่มมอบหมายให้ก็คือ ตอนเช้าหลังจากทานอาหารแล้วเราต้อง ถือปุ้งกี๋พร้อมกับไม้เขี่ย 1 อัน มีหน้าที่ไล่หมูไป เช่นอาซี้ซิ้มเขามีอยู่ ตัวหนึ่ง และของอาแป๊ะก็มีอยู่ 2 ตัว หน้าที่ของเราตอนเช้าๆก็คือ เลี้ยงหมูทั้ง 3 ตัว นั่นพร้อมกับถือปุ้งกี๋และที่ตัวไปอันหนึ่ง เมื่อหมูขี้ ตรงไหนก็จะต้องช้อนเอาขี้หมูใส่ปุ้งกี๋เข้าไว้ และก็ถือตามไปเรื่อยๆ หมูมันก็เที่ยวหากินไปเรื่อยๆ เมื่อตะวันสายมากๆแล้วจึงกลับมา เสร็จแล้วก็มีหน้าที่เลี้ยงควาย แล้วมาถึงได้กินข้าวกลางวัน หรือไม่ ได้กินเราก็จำไม่ได้ รู้สึกว่าไม่ได้กินข้าวกลางวันกินแต่ข้าวเช้า มัน อดจนเคยเสียแล้ว เมื่อสายหน่อยก็พาหมูกลับเข้าเล้าแล้วก็เอารำ เลี้ยงมันนิดหน่อยไว้ตอนเย็นจึงเอารำเลี้ยงมากๆ ส่วนเรานั้นก็มี หน้าที่ขี่ควายเฒ่า เดินข้ามลำคลองหน้าบ้านที่เราพักไปฝั่งโน้น แล้ว ก็เดินตามถนนซอกซอยต่างๆจนกระทั่งไปทะลุออกทุ่งนา ระหว่าง ที่จะออกทุ่งนาไปได้หน่อยก็จะเจอะโรงเรียนซึ่งเขากำลังเรียนหนังสือกัน พอดี แต่ตอนเช้าไปไม่ค่อยได้ยินเสียงเรียนหนังสือ ใหม่ๆเราไม่รู้ไม่ สนใจก็ผ่านไปเดินเลาะริมคลองซึ่งเขาทำนากันสองฟากข้างเป็นนา ทั้งหมด ถ้าที่ไหนมีหญ้าอุดมสมบูรณ์ เราก็หยุดตรงนั้นปล่อยให้ ควายแก่ลงคลอง ไปกินหญ้าริมๆคลองซึ่งก็มีบ้างไม่มีบ้างเลี้ยงทุก วันๆ มันก็งอกออกมาให้ควายไม่พอกินเหมือนกัน กินสักหน่อยพอ ไม่มีก็รีบจูงมันขึ้นมาและก็เดินเลาะไปตามริมคลองไปเรื่อยๆ เจอะ ที่ตรงไหนก็ต้องพามันไปกิน ไปจนกระทั่งถึงนาของอาแป๊ะของ ซี้ซิ้ม ซึ่งความจริงนั้นเป็นเงินของอาเตียเรา ส่งเงินมาซื้อและมอบให้ อาแป๊ะทำกินแปลงหนึ่งและมอบให้อาซี้ซิ้มทำกินแปลงหนึ่ง ส่วนอา แป๊ะได้รับทรัพย์สมบัติจากอากงอาม้าเรามีอยู่แปลง เพราะฉะนั้นอา แป๊ะทำอยู่ 2 แปลงส่วนอาซี้ซิ้มให้เขาเช่าอยู่ 2 แปลงเหมือนกันคือ ของอาเตียเราซื้อให้อีกแปลงหนึ่ง แต่แปลงหนึ่งรู้สึกว่าไม่เกิน 1งาน เท่านั้นเอง คนมีนาอยู่แปลงสองแปลงเขาทำนาแล้วเขาก็พอกินไป ปีหนึ่ง โดยเฉพาะอาซี้ซิ้มแค่ให้เขาเช่านา 2 แปลงเก็บค่าเช่านา แล้วก็พอกินไปปีหนึ่งเหมือนกัน ระหว่างทางที่เราขี่ควายเดินไปนั้น เราต้องระวังไม่ให้ควายมันลุแก่อำนาจคือกัดกินต้นข้าวในนาเป็นอัน ขาดเลย ถ้ากัดกินเมื่อไหร่เราจะต้องตีมัน ทุกๆวันเราจะต้องไปที่ หน้าแงควายแล้วก็กอดมันรู้สึกว่ารักมันแล้วมันก็คงรู้สึกว่าเรารักมัน มันก็เลยรักเราเหมือนกัน ทุกๆวันเราจะต้องทำอย่างนี้เป็นต้น ตอน ก่อนจะออกพามาครั้งหนึ่งเรากอดแล้วกอดอีก แล้วถึงจะขึ้นขี่หลัง ควาย พามันมาและตอนก่อนจะกลับหรือระหว่างที่ให้กินหญ้านั้น มันมาแงะๆๆหาเรา เราก็ต้องเข้าไปกอดมัน ความผูกพันระหว่าง เราและควายแก่ตัวนี้รู้สึกว่านานวันก็จะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ มีความรัก และมิตรไมตรีต่อกันเป็นอันดี หน้าที่ของเราคือต้องเลี้ยงควายเฒ่า ตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้น ส่วนอีกตัวหนึ่งมันจะร้องแงะเงอะอะไร เรา บังคับมันไม่ได้เลย เพราะมันไม่เชื่องต้องให้อาเจ๊อั้งคนเดียวเท่านั้น บังคับมัน เพราะคุ้นกับมันมากบางทีมันก็เปลี่ยวอะไรแบบนั้น เหมือนกับคนเรารุ่นกระทงขึ้นมา มันไม่ได้อยู่สุขเลย ไม่เหมือน ควายเฒ่า ควายเฒ่านี่มันเชื่อฟังเราเสมอเรารักมันมันก็รักเรา เหมือนกัน ทุกๆวันเรา ปล่อยควายให้กินหญ้าตรงไหน เราก็นั่งเล่น อยู่แถวนั้นโดยจับจิ้งหรีดตามประสาเด็กๆ มีอะไรเราก็เล่นกับเจ๊อั้ง สองคน ซึ่งไปกันสองคนพี่น้องเท่านั้น อาเจ๊อั้งแก่กว่าเราหลายปีรู้ สึกว่าจะ 3-4 ปีแต่รุ่นสาวแล้ว เพราะฉะนั้นสามารถบังคับควายผู้ หนุ่มนั่นได้สบาย เมื่อพาควายไปปล่อยลงคลองตรงที่นานั่นแล้ว เราและเจ๊อั้งสองคนก็จะต้องลงไปในแปลงนาเพื่อถอนหญ้าเล็กๆ น้อยๆที่งอกออกมาบนนา ระหว่างต้นข้าวเขาใช้ดำทั้งหมดและดำ ห่างๆกัน ตัวเราเล็กเพราะฉะนั้นเราลงไปก็คร่อมระหว่างต้นข้าว และพยายามถอนต้นกล้าในท้องนาออกให้หมด เป็นกิจวัตรและ หน้าที่ประจำวันของเราอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันกับอาเจ๊อั้งสองคน เมื่อถอนแปลงนี้หมดแล้วก็เดินทางต่อไป ระหว่างทางถ้ามีหญ้า อุดมสมบูรณ์ที่ไหนเราก็ให้ควายลงไปกิน แล้วเราก็เล่นกันสองคน พี่น้อง การเล่นกันนี่เองแม้นว่าภาษาจีนในขณะนั้นเราจะรู้ได้ไม่ มาก แต่นานวันเข้าอาเจ๊อั้งก็สอนเราด้วยภาษาใบ้ต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้จนกระทั่งเราจำภาษาจีน และเข้าใจภาษาจีนจนเกือบ หมดเลย เมื่อควายกินหญ้าหมด เราก็เริ่มจูงควายต่อไปจนถึงที่นา แปลงของเรา กิจวัตรของเราก็คือถอนหญ้าบางทีก็ไม่ถอนนะ แต่ ก็เอาเท้าเขี่ยๆให้มันตาย มันจะมีน้ำเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาเราเขี่ย ให้มันจมน้ำมันก็เน่าตายกลายเป็นปุ๋ยไป หรือถ้าเราถอนเราก็ต้อง ฝังดินอยู่แถวนั้นให้มันกลายเป็นปุ๋ยไป อย่างนี้เป็นต้นและกิจวัตร การถอนหญ้านี่กำหนดตายตัวเลย 3 วันต่อการถอนหญ้า 1 ครั้ง รู้สึกว่าแต่ละแปลงไม่ถึง 1 งานของเมืองไทยเรา ตอมันเล็กนิดเดียว สี่เหลี่ยมๆไม่ถึงงานแน่ๆประมาณสัก 50 ตารางวาคงจะได้ เพราะ มันไม่โตเลยนิดเดียวเท่านั้น แต่เสร็จแล้วอาแป๊ะซึ่งมีลูกตั้งหลาย คนก็ยังพอกินที่ทำนาตัวเอง ส่วนอาซี้ซิ้มนั้นมีอยู่กัน 4 คนมี นา 2 แปลงเหมือนกันก็ให้เขาเช่าและเก็บค่าเช่าก็พอกิน กิจวัตรของ คนจีนในขณะนั้นมีอย่างนี้ ส่วนอาซี้ซิ้มนั้นเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ด้วย ไก่ นี่ทุกๆวันปล่อยให้มันไปหากินเอง มันจะจับแมลงอะไรกินไต้เลี่ยง เต้งนั่น ส่วนมากจะปล่อยให้ไปกินอยู่แถวนั้น ทั้งหมดมีอยู่ 10 กว่า ตัวมั้ง บางทีก็ 2 วันตัวบางทีก็ 3 วันตัวส่วนอาเตียเราก็ให้เงินอา แป๊ะไปซื้อหมูจากตลาดมา ตลาดคนจีนเขาเรียกเตียมเกี๊ยะเท้าซึ่ง ก็ต้องซื้อห่านมาด้วยระหว่างอาเตียเราอยู่ ตอนไปทีหลังนี่เรารู้สึก ว่าเราไม่ได้กินห่านทั้งๆที่ชอบต้องลักกินเอา โบราณเขาถือว่าคน ต้องอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจึงจะกินห่านได้ ถ้าตอนเล็กๆกินห่าน แล้วจะเป็นขี้ทูดกูดถังถือกันแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางได้กิน ทางเมืองไทยเขาไม่ถือเลย เราอยู่เมืองไทยเราก็กินเนื้อห่านอยู่ เรื่อยๆ ซึ่งนานๆอาเตียก็ซื้อมากินแต่ว่าเราไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ถ้า อยู่เมืองจีนสิเราชอบจังเลย เพราะมันตายอดตายอยากจริงๆ เรา สองคนกับเจ๊ฮั้งเมื่อไปเลี้ยงควายจนกระทั่งบ่ายๆเมื่อแดดเหลืองๆแล้ว จึงขี่ควายกลับ ระหว่างทางก็ผ่านโรงเรียนจีนที่เขาสอน ตอนขา กลับได้ยินเสียงอ่านหนังสือกันช่างเป็นเสียงสวรรค์ซะจริงๆเลย ขณะนั้นเรารู้สึกว่าเรามีความทะเยอทะยานอยากจะเรียนหนังสือ ซะเหลือเกิน อาเจ๊อั้งจะไล่เท่าไหร่ให้เราไป เราก็ขอเวลาหน่อย นั่ง อยู่หน้าโรงเรียนนั้นฟังเขาเรียนหนังสือกันซึ่งมันจับจิตจับใจเสีย จริงๆ และทำให้อยากที่จะเข้าไปเรียนให้ได้กลับมาก็พยายามพูด กับอาซี้ซิ้ม อาซี้ซิ้มบอกว่าเขาจัดไม่ได้เขาไม่มีอำนาจและไม่มี หน้าที่ที่จะจัด ในเมืองจีนเป็นใหญ่ที่สุดขณะนี้คืออาแป๊ะคนเดียว ให้เราไปบอกอาแป๊ะอาอึ้ม เราก็ใจกล้าลองบอกดูว่าต้องการไป เรียนหนังสืออาแป๊ะก็บอกว่าน้ำหน้ามึงจะไปเรียนหนังสือ มีข้าวให้พอเลี้ยงท้องซะก่อนเถอะถึงไปเรียน ว่าพลางก็ด่าเราและ เขกหัวเราพออาแป๊ะเขกโปกหนึ่งอาอึ้มก็ต้องเขกโปกหนึ่งเหมือน กันไม่ให้น้อยหน้ากัน ต้องเรียงตัวกันเขก เขกแล้วพร้อมกับพูดว่า ลื้อกล้ามาพูดซิ ซึ่งขณะนั้นแม้ว่าเราจะมีความทะเยอทะยาน แม้น เราจะมีความเข้มแข็ง แต่เราไม่มีทางอะไรที่จะไปต่อกรกับแกเลย ลำพังอาหารการกินของเราก็ไม่พอกินอยู่แล้ว แกจะเหลือพอให้ พอดิบพอดี พอที่จะประทังชีวิตไปได้เท่านั้นเอง ฉะนั้นการอยู่เมือง จีนของเราก็คือการขาดสารอาหารเพราะมีข้าวเกี่ยมฉ่ายไชโป้วนิด หน่อย พอเค็มๆแล่มๆพาข้าวลงท้องได้ และข้าวก็จำกัดเฉพาะข้าว ต้มนะ จำกัดใส่น้ำให้เยอะๆ เพราะฉะนั้นที่เราไปอยู่เมืองจีนก็คือ ขาดสารอาหาร พูดง่ายๆก็คือไม่พอกินนั่นเอง ตอนขากลับบางทีก็ สวนกับควายหนุ่มคู่อริของควายเฒ่าเราก็คือน้องของคนที่เอาเข็ม ขัดฟาดเราจนสลบไปนั่นเอง ซึ่งครอบครัวนี้เขาทรนงตัวทุกคนเลย เจอะเราก็จะต้องเอาควายของมัน ซึ่งหนุ่มแน่นและเขาแหลมโง้ง เข้ามาขวิดกับควายเฒ่าของเราทันที ส่วนควายเฒ่าของเรา แม้นจะ ไม่ตอแยแต่ก็สู้เต็มอัตราศึกทันทีเลย สองตัวนี่เจอะกันเมื่อไหร่จะ ต้องขวิดกันเมื่อนั้น อย่างนี้เป็นกิจวัตรเลย ถ้าไม่เจอะก็แล้วไป บาง
ทีก็เจอะบางทีก็ไม่เจอะ พบกันเมื่อไหร่จะต้องขวิดกัน เพราะควาย หนุ่มมันทรนง เจ้าของมันหึกเหิมไล่ให้เข้าหาทันทีเลย ส่วนควาย เฒ่าของเราแม้นจะสู้เต็มกำลังและตัวใหญ่กว่าก็จริง แต่ว่าเขานั้น เปิ้นมากเขาไม่ได้แหลมเลยขวิดถูกตาของมัน มันก็ไม่เจ็บ มันตรง กันข้ามกับเขาของมันขวิดถูกตาถูกหูอย่างนี้เลือดอาบทุกทีเลยซึ่งเรา สงสารควายแก่ของเรามาก เพราะฉะนั้นเมื่อมันขวิดกันเมื่อไหร่เรา จะต้องกระโดดลงไป ได้น้องที่เอาเข็มขัดฟาดเราจนสลบไป มันตัว เล็กกว่าเรา เราก็ต้องขอร้องมันให้ดึงควายมันออก ซึ่งเราจะดึงของ เราฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ จนกระทั่งตกลงกันได้ต่างคนต่างดึงออก ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดึงก่อนก็จะถูกเขี้ยวโง้งทางคอหรือทางสะบักเป็นแน่ เลย เพราะฉะนั้นก็จำเป็นจำใจต้องขอร้องกันและต้องบอกกันว่า 1..2..3..ซึ่งความจริงเราก็พูดว่า เจ็ก หนอ ซา เมื่อซา ต่างคนต่างดึง ทันที มันจะไม่มีใครเสียเปรียบใคร ควายเฒ่าของเราแม้นจะแก่แค่ ไหนก็ตามแต่ แต่พละกำลังมีมากและตัวก็โตกว่า เพราะฉะนั้นจึง ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด คนจีนเขาว่า"ซูนั้งอยู่ซูติ่ง" ความหมายก็คือว่า คนแพ้สนามรบไม่ยอมแพ้ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อควายเฒ่าและควาย หนุ่มขวิดกันนั้นใหม่ๆ เราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นใหม่ๆนี่ ควายเฒ่าเราเจ็บตัวมากเลยเลือดออกมากเลย ซึ่งอาเจ๊อั้งจะต้อง ไปบังคับเอง ตอนหลังๆเราก็เลยบังคับให้มันเลิกขวิดกันได้โดย บังคับให้น้องชายคนที่เอาเข็มขัดฟาดเราจนสลบ ชื่ออะไรขณะนั้น เราเรียกชื่อกันได้หมด แต่มันนานเต็มทีจนเลือนไปหมดจำไม่ได้ แล้ว ส่วนลูกควายตัวที่อาเจ๊อั้งเลี้ยงนั่น เมื่อเจอะเขาขวิดกัน มันจะ ต้องรีบหนีทันทีเลยอยู่ซะห่างๆเลย เพราะความขี้ขลาดของมัน ซึ่ง จะโทษมันก็ไม่ได้ มันเหมือนกับลูกควายเด็กๆเหมือนกับเรา อย่างนี้ ส่วนควายอีกตัวของฝ่ายโน้นก็เหมือนกัน อยู่ซะห่างๆเลย ปล่อยให้ควายเฒ่ากับควายหนุ่มนี่ขวิดกันอยู่อย่างเนี้ยะทุกๆครั้งที่ พบกัน แต่ส่วนมากแล้วพอเราเจอะมันเราจะต้องโค้งมันให้ไปอีก ทางหนึ่งไม่ยอมให้มันพบกัน พบกันทีไรจะต้องให้ขวิดกัน ซึ่งบางที แผลก็ยังไม่ทันหายมันก็ขวิดกันอีกแล้ว ส่วนควายหนุ่มไม่มี แผลเลย ถึงจะเจ็บจะช้ำอะไรมันไม่มีแผลเพราะควายแก่ของเราที่ เราเลี้ยงนี่เขามันเปิ้นเหลือเกิน ขวิดได้แรงก็จริงแต่ว่ามันไม่เข้า เพียงแต่ทำให้ช้ำๆเท่านั้นเองซึ่งจำได้ว่าหลายๆวันจึงจะประจวบเหมาะ เดินทางมาพบกันสักทีหนึ่ง แต่พบกันไม่ได้พบกันจะต้องขวิดกัน เสมอ เพราะควายแก่เรารู้ทางดีจำเป็นจะต้องให้ควายแก่นำทาง ออกหน้า ส่วนของเขานั้นก็เหมือนกัน เขาให้ควายหนุ่มออกหน้า ทั้งๆที่ทางกลับบ้านมันคนละทางกัน แต่ว่าทาง 3 แพล่ง 4 แพล่ง ตรงนั้น มาทีไรก็คอยจะมาเจอะ เพราะจะพาควายกลับ ส่วนมากใน เวลาเดียวกัน ถ้าคนละเวลาก็จะคลาดเคลื่อนกันไปไม่ได้พบกัน ซึ่งจำได้ว่าสัก 7-8 วันก็จะพบกันสักครั้งหนึ่งประมาณนี้ โอ้หนอ ชีวิตของคนเรานี่มันช่างผันแปรเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอจากหน้ามือเป็น หลังมือ เราจากที่สุขสบาย จากพ่อแม่ที่ให้ความอบอุ่น ก็กลับมาอยู่ เมืองจีน มาได้วันเดียวอาเตียก็ทิ้งเราไป ครั้นพอเราจะมีความสุข อยู่กับอาม้าเราพอมีความสุขได้หน่อยเดียวอาม้าก็ได้สิ้นเสียอีกแล้ว เมื่ออาม้าสิ้นไปชีวิตเราก็เปลี่ยนแปรผันไปอีกแบบหนึ่ง เราจะต้อง ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อแลกกับอาหาร ซึ่งกว่าอาแป๊ะจะให้เรา กิน ก็ต้องเผชิญกับการเฝ้าหมูติดตามหมู แล้วตอนบ่ายก็ไปเลี้ยง ควายเฒ่า อย่างที่ได้เล่ามาอย่างนี้ ชีวิตมันช่างผันแปรไปได้อย่างมากเหลือเกิน คิดขึ้นมาขณะนั้นรู้สึกว่ามันเศร้าใจ แต่ว่าชีวิตต้องสู้ เราจะต้องสู้ต่อๆไป


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.