วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน07"ถูกสอนให้เป็นขโมย"

หลังจากอาม้าเสียไปแล้วและหลังทำพิธีสวดกงเต๊กและนำไป เจี่ยซัวเรียบร้อยแล้ว เจี่ยซัวหมายถึงหามไปทำพิธีฝังศพลงในฮวงซุ้ย หรือภาษาพื้นเมืองเรียกว่า"ผุ่งหมอ" ซึ่งผู้รู้จะทำพิธีกรรม สวดและพิธีต่างๆนาๆ จนกระทั่งทำพิธีโยนใส่หลุมและค่อยๆบรรจุ ลงไปในฮวงซุ้ย ซึ่งเขาทำไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อขณะที่สวดศพกัน แต่งซะสวยงามยิ่งนักน่าเข้าไปนอนเหลือเกิน เรารู้สึกว่าวันนั้นเรา ไปป้วนเปี้ยนอยู่หน้าฮวงซุ้ยหรือหน้าหลุมฝังศพ ส่วนบนหลุมฝัง ศพปลูกหญ้าไว้งามนั้น เขาไม่ให้เด็กเข้าไปเที่ยว เด็กก็ไปอยู่ได้ เพียงหน้าฮวงซุ้ยและหน้าผุ่งหมอเท่านั้นเอง หลังพิธีเรียบร้อยแล้ว ชีวิตของเราก็เปลี่ยนแปลงไปมาก เหมือนกับตัวคนเดียวในโลก ไม่ มีที่พักพิงอาศัย มีอาแป๊ะก็รู้สึกว่าแกไม่ค่อยรักเรา เพราะลำพังลูก แกก็มีตั้งหลายคนเหลือเกินแล้ว ส่วนอาซี้ซิ้มก็มีถึง 3 คน แม้จะมี น้ำใจอารีอารอบเอ็นดูต่อเราสักเพียงใดก็ตามแต่ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าเป็นสะใภ้ อาซี้เจ๊กก็มาอยู่เมืองไทย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้อง อยู่ในการควบคุมของอาแป๊ะอาอึ่มเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น กิจวัตร ประจำวันของเราซึ่งอาตั่วแป๊ะตั่วอึ้มควบคุมนั้นตื่นแต่เช้าจะต้องนำหมู 3 ตัวไปเลี้ยง พร้อมกับน้องชายทั้งสองของเราคือหย่งบักหย่งก้อไป ด้วยกันพร้อมทั้งฮวงกวยลูกอาซี้ซิ้ม ก็เป็นน้องเราเหมือนกัน ไปด้วยกัน 3-4 คน หมูมันชอบหากินตามริมน้ำ ซึ่งมีอะไรๆมันก็กิน ส่งเดชไป หากินไปเรื่อยๆ เราก็ตามไปพร้อมกับมีปุ้งกี๋และไม้เขี่ย สำหรับช้อนขี้หมูใส่ปุ้งกี๋ พาไปตามริมคลองและบางทีก็เข้าไปใน สวนต้นไม้ซึ่งเป็นของกงฮึ้ง ถ้าหากระหว่างไปพบกิ่งไม้แห้งคาต้น อยู่กิ่งสองกิ่งเราก็จะต้องปีนขึ้นไปเก็บมา เพื่อมาเป็นเชื้อเพลิง ถ้า หากว่าระหว่างทางพบหญ้าหรือใบไม้แห้งๆหรือไม่แห้งก็ตาม เราก็ ต้องเก็บใส่น้าไปต่างหาก เพื่อเป็นเชื้อเพลิงเหล่านี้เป็นต้น ไปกระ ทั่งประมาณสายๆ ก็จะไล่หมูกลับบ้านไปเข้าเล้าแล้ว เขาจะเอา  อาหารหมูมาเลี้ยง ซึ่งผู้ใหญ่เขาจะต้มผักต้มอะไรไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เย็นแล้วนำมาเลี้ยงตอนนี้สักหน่อย ส่วนพวกเราเด็กๆก็จะพากัน ไปกินข้าว สำหรับเรานั้นกินบ้านอาแป๊ะ 1 วันแล้วก็กินบ้านอาซี้ซิ้ม อีก 1 วัน เป็นกิจวัตรดังนี้ตลอดมา ระหว่างที่เรากินข้าวพวกผู้ใหญ่ ก็จะเตรียมการ มีจอบเสียมและหาบหลายๆหาบจะพากันไปทำ สวนหลังบ้าน สวนหลังบ้านหมายถึงว่าเป็นสวนที่ดินส่วนเกิน ซึ่งแบ่งกันเป็นร่องๆคล้ายๆร่องผักคนไทยเราที่คนจีนเขาปลูกกัน อย่างนั้น แบ่งเป็นร่องๆคืออาซี้ซิ้ม 2 ร่อง อาตั่วแป๊ะตั่วอึ้ม 2 ร่อง เขาจะปลูกผักสลับกันคือร่องหนึ่งเป็นตั่วไฉ่ สำหรับไปทำผักกาด ดองและอีกร่องหนึ่งก็จะปลูกไชเท้าหรือผักกาดหัวเพื่อนำไปทำผัก กาดหัวเค็ม สำหรับเป็นกับข้าวเป็นกิจวัตรประจำวันของเราอย่างนี้ สำหรับตั่วไฉ่ ซึ่งใช้ทำผักกาดดองนั้นจะกินเวลาประมาณ 3 เดือน ถึงจะเก็บไปดองได้ ส่วนไชเท้าหรือผักกาดหัวนี่เพียงเดือนเศษๆ ไม่ถึง 2 เดือนดีก็ลงหัวพร้อมที่จะเก็บไปทำผักกาดหัวเค็มได้ เมื่อเก็บไชเท้าหรือผักกาดหัวไปทำแล้วก็จะตากดินให้แห้งๆ เสร็จ ก็จะเอาหัวปลายร่องที่ปลูกมันเทศอยู่หน่อยนั่น นำเอาเถาของมัน มาสับๆๆเป็นท่อนๆแล้ว ก็ปลูกลงไปในแปลงที่เก็บหัวไชเท้าไปทำ ผักกาดหัวเค็มแล้วนั้นปลูกลงไปเพื่อจะได้มีมันเทศได้รับประทานอีก มันเทศนี้จะกินเวลาถึงจะมีหัวได้ 2-3 เดือน กิจวัตรประจำวันที่ไป กัน ก็คือผู้ใหญ่เขาจะไปพรวนดินส่วนเด็กๆเราก็จะช่วยกันตักน้ำ มารดผักเนี่ยะเป็นกิจวัตรประจำวัน จนกระทั่งสายมากๆจนเกือบ เพลก็พากันกลับบ้าน พอทานกลางวันเรียบร้อยแล้วพวกเด็กๆก็จะ พากันไปเลี้ยงควายมีเรากับอาเจ๊อั้งสองคนพี่น้องที่จะต้องจูงควาย สองตัวออกไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ซึ่งได้บันทึกไว้แล้วในตอนผจญกรรม เลี้ยงควาย ครั้นตกเย็นพาควายกลับมาเข้าคอกแล้ว คอกควายก็ อยู่ตรงหลังบ้านริมน้ำนั้นเอง เมื่อทำความสะอาดควายและในตอน นี้เอง เมื่อควายถูกขวิดมา เราก็จะต้องไปหายามาใส่ให้ควายเพราะ ความรักควายเฒ่า เพราะเป็นหน้าที่เราจะต้องเลี้ยงมันเป็นประจำ
แต่ถ้าไม่มีแผล เราก็จะต้องนำหญ้าซึ่งเกี่ยวเมื่อขณะไปเลี้ยงควาย ให้มันกิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะไปเที่ยวเล่นที่ไต้เหลี่ยงเต้ง เล่นกับพวกเด็กๆ ในจำนวนพวกเด็กๆที่เล่นกันนี่มีทั้งน้องชายน้อง สาวเราและเพื่อนเราอีกหลายๆคน ซึ่งจำชื่อไม่ได้หมดแล้ว มีจำได้ อยู่สองคนก็คือตอนหลังได้มาเมืองไทยและได้พบกันที่เมืองไทย คืออาเฮียไท่เจี๊ยบและเฮียไท่เล็งสองคนพี่น้อง ไท้เจี๊ยบแก่กว่าเรา หลายปีหน่อย ส่วนไท้เฮงแก่กว่าเราปีสองปีก็จำไม่ได้แล้ว ซึ่งไท้ เฮงคนนี้ตอนหลังนี่มาเป็นตั้วเสี่ยอยู่กรุงเทพฯ เพราะพ่อแม่เขาอยู่ ปากน้ำโพมั่งมีมากชื่ออาเจ๊กเจี้ยเซ่ง อาเจ๊กเจี้ยเซ่งเรียกอาเตียเรา ว่าอาเฮียกิมเช้ง ไปมาหาสู่กันอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังนี่พอมาอยู่เมือง ไทยแล้วจึงรู้ว่าอาเจ๊กเจี่ยเซ่งคือพี่น้องเราที่เมืองจีน อยู่ติดกับบ้าน ที่เรานอนพอดี แต่มีกั้นประตูอยู่หน่อยหนึ่งซึ่งจะผ่านไปบ้านเขาจะ ต้องผ่านประตูนั้นไป โดยเฉพาะอาเฮียไท้เฮงสนิทสนมกับเรามาก เพราะว่าเรารุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนไท้เจี๊ยบนั้นแก่กว่าเรามาก หน่อยซึ่งจะสนิทสนมกันน้อยไป เราเล่นกันตามประสาเด็กอยู่พัก หนึ่งก็รีบพากันไปอาบน้ำ น้ำที่จะอาบได้และลึกหน่อยก็อยู่ที่ท้าย ทางตอนใต้ของหมู่บ้าน ตอนนั้นเป็นลำคลองติดต่อมาตามหน้า บ้านที่เรานอนอยู่เหมือนกัน เป็นคลองอันเดียวกันแต่คลองที่อยู่ หน้าบ้านเรานั้นแคบหน่อยและน้ำก็ไม่สะอาดเพราะน้ำตื้น แต่ทาง ท้ายบ้านอีก 50 เมตร เป็นคลองที่กว้างใหญ่และน้ำลึกมาก เราพา กันไปอาบทุกวันๆ ทั้งเด็กโตและเด็กเล็กรวมทั้งผู้ใหญ่ด้วยอาบอยู่ หลายวันสัก 2-3 เดือนก็รู้สึกว่าฝรั่งมันน่ากินเหลือเกิน เขาปลูกไว้ ตรงข้ามกับที่เราอาบน้ำกัน บ้านตรงข้ามเขาอยู่ริมคลองปลูกฝรั่งไว้ ริมน้ำ และโดยเฉพาะมีอยู่กลุ่มหนึ่งฝรั่งเอนลงมาจนกระทั่งใบเกือบ แตะน้ำ โดยเฉพาะฝรั่งที่เห็นนั่นสวยเหลือเกิน ทั้งลูกมันก็เกือบแตะ น้ำเหมือนกัน พวกพี่ๆรวมทั้งไท้เฮงด้วยซึ่งมีอาเฮียหย่งคุณ หย่งซัว หย่งอ๊อ อาบน้ำกันเห็นแล้วมันยวนตาเหลือเกินจึงพากัน พูดว่า แหมถ้าเราดำน้ำได้เต็มที่แล้วไปโผล่ตรงข้ามเด็ดฝรั่ง แล้วดำ กลับมาอย่างนี้ได้จะดีมากเลย พูดกันหลายวันๆเข้าก็มีเด็กโต หลายๆคนที่ลองดำน้ำแล้วส่วนมากไปโผล่เกือบๆ จะถึงต้นฝรั่งนั้น เมื่อโผล่ไม่ถึงต้นฝรั่งก็รีบดำน้ำกลับมาที่ ที่เราอาบน้ำกัน คนเยอะ แยะเลยเต็มหมดเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงนั่นรู้สึกว่าเขาจะตักขึ้นมา อาบในบ้าน เมื่อพวกเด็กโตพยายามลองแล้วไม่สำเร็จก็พากันเสีย ดายที่ดำไปถึงแล้วไม่สามารถเก็บฝรั่งนั้นมาได้ การดำแล้วไปโผล่ เกือบถึงต้นฝรั่งนั้น ทำให้ส่อเจตนนาว่าจะเป็นขี้ขโมยไปเด็ดผลฝรั่ง นั้น เจ้าของฝรั่งเขาก็ตะเพิดเอา แต่ถ้าดำไปจนถึงต้นฝรั่งแล้วเงา ของมันซึ่งหนามาก เพราะมีกันหลายต้นเป็นระโยงระย้าไปหมด ก็ จะไม่เห็นตัวคนซึ่งไปโผล่ตรงนั้นพอดี ส่วนเด็กเล็กที่อายุ 9-10 ขวบ รุ่นราวคราวเดียวกับเราก็ไม่มีใครกล้าลอง เพราะเด็กตัวใหญ่ๆดำ ไปไม่ถึงแล้วเด็กตัวเล็กๆทำไมจึงจะดำไปถึงได้ ส่วนเรานั้นแม้น ลูกฝรั่งจะเย้ายวนใจอย่างไรก็ตาม แม้ท้องจะหิวอย่างไรก็ตาม แต่ คุณยายเราสอนว่าการลักขโมยเป็นการไม่ดี เป็นการเบียดเบียนผู้ อื่นซึ่งต้องห้ามตามคำของพระท่านสอนไว้ ฉะนั้นเราจึงไม่ควร ปฏิบัติด้วยเหตุนี้เราก็ไม่คิดอยากจะลองดำดู ส่วนเด็กตัวใหญ่ๆเขา ก็ไม่คิดว่าเราจะสามารถดำไปได้ จึงไม่มีใครคะยั้นคะยอให้เราไป ลอง ต่อมามีการดำน้ำแข่งกัน ซึ่งเด็กใหญ่ๆแข่งกัน คนนี้ได้นานสุด คนโน้นได้นานสุดให้เด็กเล็กๆเป็นกรรมการคอยดู เด็ก เล็กๆส่วน มากจะไม่ขี้โกงพูดอะไรก็พูดตามตรงซึ่งเด็กใหญ่ก็ผลัดกันแพ้ผลัด กันชนะอย่างนั้น เมื่อเด็กใหญ่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะหลายวันเข้า เด็กเล็กอย่างพวกเราก็อยากจะแข่งกันบ้างจึงท้ากันไปท้ากันมา ระหว่างเด็กเล็กๆด้วยกันก็เลยตกลงลองดำแข่งกันดู ผลปรากฎว่า เราชนะเขาทุกๆคน เมื่อผลปรากฎมาอย่างนี้เด็กใหญ่ก็คะยั้น คะยอ มาลองกับเด็กใหญ่ดู เราก็ไม่กล้าที่จะดำแข่งกับเด็กใหญ่ เพราะ ความเจียมเนื้อเจียมตัวเกรงเขาจะเกลียดน้ำหน้าเอาได้ แต่เมื่อถูก เขาท้าหนักๆเข้า รวมทั้งพี่ชายเรามาบังคับให้เราลองดู เราก็อดไม่ ได้เราก็ต้องลองดูตามคำบังคับของพี่ชายผลปรากฎว่าเด็กใหญ่ ก็สู้ เราไม่ได้ เรายังดำนานกว่าตั้งมากมาย หลายวันต่อมาพวกเด็ก ใหญ่ก็พากันเพ่งเล็งมายังเราว่า เรานี่แหละจะสามารถดำน้ำไปโผล่ อยู่ติดกับต้นฝรั่งพอดีพร้อมกับเด็ดลูกฝรั่งสักลูกสองลูกแล้วกลับมา เพราะลูกใหญ่เหลือเกิน เราก็ดื้อไม่ยอมลองดู จนกระทั่งพี่ชายเรา มาบังคับให้ไปให้ได้ แต่เราก็ยังดื้อไม่ยอมลองดูอยู่นั่นเอง หลายวัน ต่อมา กระทั่งรู้ถึงอาตั่วแป๊ะตั่วอึ้มของเราเรียกเราไป บอกว่ามึงมั่งมี นักเชียวหรือ ทำไมไม่ลองดูลองดำไปถึงทีเดียวก็กลับมาแล้วใคร จะไปรู้ว่ามึงไปเด็ดมา เราก็พยายามอิดเอื้อนไม่ยอมที่จะลองเพราะ เหตุว่าไม่เป็นสิ่งที่เป็นมงคลเลยที่จะไปขโมยของเขา อาตั่วแป๊ะ ตั่วอึ้มถึงขนาดว่าถ้าไม่ยอมลองเด็ดดูก็จะไม่ยอมให้กินข้าวสักมื้อหนึ่ง เลย เราโดนเข้าไม้นี้เราก็ไม่สามารถดื้ออีกต่อไปได้ ตั่วแป๊ะตั่วอึ้มก็ ให้อาหย่งอ๊อเป็นคนกำกับเราให้ไปลองดู ซึ่งความจริงถ้าหากว่า เราโต สักหน่อยเราก็จะแกล้งดำไม่ถึงแล้วก็ดำกลับมาก็ยังได้ แต่ ขณะนั้น เราทำอะไรๆก็พาซื่อไปหมด เราไม่มีไหวพริบที่จะขัดขืน ผู้ใหญ่ได้ ก็ตรงไปตรงมาดำไปโผล่ต้นฝรั่งและยังไม่เต็มอึดใจดี ครั้ง แรกเด็ดลูกฝรั่งมาเพียงลูกเดียวแล้วก็ดำกลับมาฟากนี้ มาถึงพี่ชาย เราหย่งอ๊อก็นำมากัดกันคนโน้นคำคนนี้คำหมดภายในชั่วพริบตาเดียว หมด แล้วก็พากันสรรเสริญเราใหญ่ว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ ซึ่ง ฝรั่งที่เราลักขโมยเขามานั้นเราไม่ยอมแตะต้องเลย ต่อมาตั่วแป๊ะ ตั่วอึ้มเราก็เรียกเราไปว่าอีกบอกคราวนี้ให้เอา 3 ลูก ให้เอากลับมา บ้านซะลูกหนึ่ง ให้อาซี้ซิ้มลูกหนึ่ง แล้วแบ่งกันกินที่ท่าน้ำลูกหนึ่ง บังคับเรา อย่างนี้เราบอกเราถือไม่ไหวฝรั่งลูกใหญ่จะตาย อาตั่ว แป๊ะก็พยายามจะให้เราทำให้ได้ โดยบงการอาเจ๊เง็กลูกสาวคนโต ของแก เย็บถุงผ้าให้ใบหนึ่งให้พอใส่ฝรั่งได้สัก 4-5 ลูก แต่บังคับเรา อย่างน้อยก็เอามา 3 ลูกมิฉะนั้นจะไม่ยอมให้กินข้าวโดนไม้นี้เข้า เราก็ไม่สามารถจะปฏิเสธต่อไปได้ เพราะที่พึ่งของเราอยู่ที่อาตั่ว แป๊ะตั่วอึ้ม อาซี้ซิ้มเท่านั้นเอง ซึ่งความจริงถ้าหากพวกเด็กขโมย เขาวันละลูกเพื่อกินกัน เจ้าของก็คงจะไม่รู้เพราะว่าฝรั่งนั้นดกเหลือ
เกินและอีกประการหนึ่งนอกจากฝรั่งจะดกแล้วลูกยังโตอีกด้วย หายวันละลูกไม่รู้สึกว่ามันจะบางตาไปเลย แต่เมื่อให้เราเอาตั้ง 3 ลูก เพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้นก็เอะใจทำไมฝรั่งถึงผิดตาไปเลย ด้วย เหตุนี้เขาจึงมาเฝ้าคอยดู ซึ่งอยู่ฝั่งนี้ก็แลไม่เห็นว่ามีเจ้าของมาเฝ้า อยู่ เพราะว่าใบฝรั่งก็หนา ลูกก็ดกจนไม่เห็นตัวเจ้าของ เมื่อเราดำ ไปเอาครั้งละ 3 ลูก ครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่หรือที่ห้าอะไรเราก็จำไม่ได้ พอดำโผล่ไปก็ถูกเขกหัวโป๊ก เราก็รีบดำกลับมาฝั่งเก่าอีก เมื่อเรา ไม่ได้ฝรั่งกลับมาพวกพี่ๆก็พากันผิดหวัง เราก็บอกว่าเจ้าของเขา เฝ้าอยู่ พอโผล่ขึ้นไปก็ถูกเขกหัวโป๊ก แม้จะเขกไม่แรงเพราะเป็น ครั้งแรก และเจ้าของก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนใดคนหนึ่งที่สามารถดำ จากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้นเพราะมันห่างไกลกันมาก ห่างไกลกันเกือบ20 -30วาทีเดียว เกินกว่าที่ใครหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองที่จะสามารถดำจาก ฝากนี้ไปโผล่ฝากโน้นแล้วก็ลักฝรั่งเขากลับมาได้ และเหตุที่เจ้าของ เขาเขกหัวไม่แรงนักก็เพราะเหตุว่าเราโผล่ขึ้นไปเห็นเป็นเด็กตัวนิด เดียวเท่านั้นเอง เจ้าของก็เกิดความเอ็นดู จึงเขกหัวเพียงนิดเดียว ไม่แรงนักไม่รู้สึกเจ็บมากนัก อาแป๊ะอาอึ้มเรายังเขกแรงกว่านี้เจ็บ กว่านี้อีกมากมายเหลือเกิน ซึ่งเราก็เคยถูกอาแป๊ะอาอึ้มเขกหัวอยู่ เรื่อยๆ รวมทั้งอาเจ๊อั้งด้วย เมืองจีนนิยมเขกหัวกันเป็นนิจสินเลย ไม่ว่าใครถ้าทำผิดนิดๆหน่อยๆ เขาก็เขกหัวเอาจนเกือบจะเรียกได้ ว่าเป็นประเพณีหรือเป็นสันดานอันแท้จริงของหมู่บ้านของบิดาเรา เมื่อไม่ได้ฝรั่งกลับมาให้ อาตั่วแป๊ะตั่วอึ้มเขาก็แสดงอาการไม่พอใจ เรา เราก็บอกว่าเราไม่กล้าไปอีกแล้วเจ้าของเขาเฝ้าอยู่ตรงนั้นพอดี เลย เขาไม่ยอมห่างเลยเวลาที่ไปอาบน้ำเขาจะเฝ้าอยู่เป็นประจำ เลย หลายวันต่อมาอาตั่วแป๊ะตั่วอึ้มก็พยายามจะคะยั้นคะยอให้เรา ไปอีกให้ได้ พร้อมกับใช้คำพูดเก่าๆคือจะไม่ให้เรากินข้าว เราก็หมด ทางที่จะปฏิเสธ ถ้าเราไม่ได้กินข้าวก็หมายถึงว่าเราจะต้องตาย อย่างแน่นอน เราไปอีกครั้งหนึ่งบังเอิญปลอดภัยเอากลับมาให้แก ได้ แกก็พยายามคะยั้นคะยอให้เราไปเอาให้ได้อีก ด้วยความโลภใน กมลสันดานของตั่วแป๊ะตั่วอึ้ม รวมทั้งความใจร้ายของแกด้วย หลัง จากถูกเขกหัวทีแล้วเราก็ปลอดโปร่งมาได้อีก 2 หรือ 3ครั้ง พอครั้ง ต่อมาคราวนี้พอโผล่หัวขึ้นไปถูกเขกอย่างแรงเต็มที่เลย ถึงขนาด หัวโนปูดสูงมากเลย เราปวดมากร้องไห้กลับมาให้อาตั่วแป๊ะตั่วอึ้ม ดู แกก็อัดอั้นตันใจ ต่อไปแกก็ไม่กล้าที่จะคะยั้นคะยอให้เราไปอีก ส่วนอาเฮียไท้เฮงไท้เจี๊ยบนั่นเขาไม่รู้สึกยินดียินร้ายในสิ่งที่ขโมย มาเลย เพราะฐานะการเงินเขาที่เมืองจีนและที่เมืองไทยมั่งมีมาก เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ยินดีที่ได้มา พร้อมกับเห็นใจเราที่ถูกบังคับให้ ไปขโมยของเขา พยายามมาแสดงความเสียใจกับเราพร้อมทั้งเห็น ใจเรา เราจึงสนิทสนมกันมาก โดยเฉพาะอาเฮียไท้เฮงแก่กว่าเราปี หรือสองปีจำไม่ได้แล้ว ซึ่งต่อมาพบกันที่เมืองไทย อาเฮียไท่เฮงก็ เป็นเสี่ยใหญ่เป็นเจ้าของโรงงานทำอะไรต่ออะไรเยอะแยะหมด นอกจากเจ้าตัวเขาจะมั่งมีแล้ว พ่อตาแม่ยายเขาก็เป็นเศรษฐีมหา เศรษฐีด้วยคนหนึ่ง ซึ่งเจอะที่เมืองไทยบังเอิญพบกันเมื่อไหร่แกก็ จะพาเราไปเลี้ยงต้อนรับเสมอ นี่คงเป็นความใจกว้างและใจดีของ แกหลังจากอาเฮียไท้เฮงเสียชีวิตแล้ว เราก็ได้รู้จักลูกแกคนหนึ่งชื่อ ดร.วรศักดิ์ สำเร็จปริญญาเอกจากประเทศญี่ปุ่น และบังเอิญมาเป็น เพื่อนกับลูกเขยเราเชี่ยวเวทย์ ซึ่งเป็นสามีของศิริโฉมอีกด้วย เมื่อ สืบเสาะประวัติถึงรู้ว่าเป็นลูกของอาฮียไท้เองเพื่อนเรา ยายจ๋า อา เตียจ๋า แม่จ๋า อยู่เมืองไทยพยายามชี้แนะให้เรานี้เป็นคนดีไม่เบียด เบียนผู้อื่น


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.