วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน08"ทำนาทำสวนและการเก็บเกี่ยวผลผลิต"

ได้กล่าวแล้วว่ากิจวัตรประจำวันของเราก็คือตื่นเช้าจะต้อง ไปนำปุ้งกี๋และไม้คล้ายๆไม้พาย แต่ว่าทำเป็นรูปช้อนพาหมูออกไปหากินตามชายเลนแถวนั้น บางทีหาไม่พอหมูไม่พอกินจะต้องหา ออกไปไกลหน่อยเพื่อให้หมูออกเอ็กเซอร์ไซด์เสียหน่อย หมูมันจะ แซะตามชายเลนมีอะไรต่อมิอะไรไม่รู้ หมูนี่รู้สึกว่าเป็นสัตว์ที่กินไม่ เลือก อาหารมีอะไรต่ออะไรมันก็กินๆส่งหมด โดยเฉพาะสัตว์ริมน้ำ เช่นปูหอยและตัวอะไรตามชายเลนมันจะไล่งับและซวบๆหากินไปเรื่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการท้องหิวส่วนเราก็พยายามตามมันไป มันจะไป ไหนเราก็ตามมันไป รู้สึกว่ามันจะขี้ทีไรมันโก่งหางชี้ขึ้นมาละก็ เรา จะต้องไล่ให้มันมาขี้บนบกอย่างนี้เป็นต้น เมื่อมันขี้เสร็จแล้ว เราก็ จะเอาพายเหมือนกับช้อนเขี่ยใส่ปุ้งกี๋ แล้วก็ถือปุ้งกี๋เดินตามมันไป เรื่อยๆแล้วแต่มันจะไปไหน ส่วนมากจะไปชายเลนหรือที่ดินที่ อ่อนๆและที่ที่มันสกปรกๆหมูมันชอบ เมื่อได้เวลาสายเราก็จะพา หมูกลับมาเข้าเล้า เมื่อหมูเข้าคอกแล้วผู้ใหญ่ก็จะนำผักใส่รำบ้าง นิดหน่อยต้มคอยท่าไว้มาเลี้ยงมันเล็กๆน้อยๆ สำหรับมื้อเช้าเพราะ หมูมันไม่จำเป็นมื้อที่หมูจำเป็นมากที่สุดคือตอนเย็นจะต้องเลี้ยง จนเต็มที่ แต่ก็ไม่หนีผักและรำข้าวปนบ้างเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง เมื่อหมูเข้าคอกแล้วก็หมดภาระหน้าที่เรา เราก็จะไปกินข้าว การ กินข้าวก็ต้องรอคอยจนกระทั่งทุกคนกินหมดก่อนแล้ว เราถึงจะ เข้าไปกิน ซึ่งบางมื้อก็ได้อิ่มเต็มที่ บางมื้อก็ไม่ค่อยอิ่มนักแต่ก็จำ เป็นจำใจต้องพอเพียงแค่นั้น กินข้าวแล้วก็จะมาเล่นกับเพื่อนๆรุ่น ราวคราวเดียวกัน บางทีก็มีนายไท้เฮงมาร่วมเล่นด้วยเพราะแก่ กว่าเราปีหรือสองปีเท่านั้น ส่วนเด็กๆเพื่อนเรามีอยู่หลายคนทีเดียว เพราะว่าเมืองจีนนั้นมีคนอย่างกับหนอน ซึ่งคำพังเพยว่าไว้อย่างนี้ ฉะนั้นเด็กๆจึงมีมากบางทีก็ได้เล่นนานหน่อย บางทีก็ไม่นาน อาเจ๊อั้งก็จะมาเรียกเราไป รีบไปสวนกันได้แล้ว ผู้ใหญ่ก็ไปด้วยไป ทำสวนก็คือ ผู้ใหญ่เขาไปพรวนดิน พวกเด็กๆก็ไปตักน้ำขึ้นไปรด ร่องผัก ซึ่งบางที่ก็มีปลูกตั่วไฉ่ ที่เขาเอาไปดองเป็นผักดองเค็ม อย่างนั้น และก็มีหัวไชเท้าหรือผักกาดหัวสองอย่างนี่คู่กัน แต่บางที ก็มีผักอย่างอื่นๆเช่นถั่วฝักยาวบ้าง แต่มันมีจำนวนน้อยมาก เพราะ ไม่ใช่อาหารหลักของคนจีนเขา อาหารหลักของคนจีนก็คือเกี่ยมไฉ่ กับไช้โป้ว เกี่ยมไฉ่ก็คือผักกาดดอง ไช้โป้วคือผักกาดหัวดองเค็ม ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่ก็ไปตักเอาปุ๋ยใน"ตังซี"ในส้วม เป็นน้ำคร่ำสีดำ คลึดเลยนำไปรดผัก ในส้วมนี้จะรวมทั้งขี้หมูขี้คนทิ้งไปรวมกัน บาง ทีมีของอะไรเน่าๆเขาก็เทใส่ลงไปในส้วมทั้งหมด ลักษณะส้วมเขา สร้างเป็นหลุมๆเทเป็นปูนซีเมนต์ทั้งหมด เป็นหลุมกลมๆและลึกลง ไปเยอะเลย เพราะจะต้องให้จุมากๆ ไม่แน่ประมาณสัก 2 วาคงจะ ได้ มิฉะนั้นพอฝนตกมามันก็จะเต็มขึ้นมา เพราะฉะนั้นต้องสร้างให้ ลึกเข้าไว้ เราจะมีกำแพงล้อมรอบพร้อมกับมีรูสำหรับให้หันหลัง เข้าไปได้พร้อมกับมีที่ให้รองนั่งสำหรับถ่ายอุจจาระลงไป เมื่อเราไป ถ่ายอุจจาระใหม่ๆ เรากลัวเสียจนไม่กล้าเข้าไปต้องถูกด่าแล้ว ถูก ด่าอีก จึงค่อยๆเข้าไป เขาจะมีเชือกให้เราจับเข้าไว้และมีโขด กำแพงสำหรับจับเวลาถ่ายอุจจาระจะได้ไม่ตกลงไป เคยมีประวัติ ว่าเด็กตกลงไปแล้วพ่อแม่ไม่ทันช่วย ถึงกับเป็นศพเน่าอืดอยู่ตรง นั้นเลยและบางทีก็มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ไปถ่ายอุจจาระคนเดียวพราด พลั้งตกลงไป ส่วนมากผู้ใหญ่จะตกลงไปตอนกลางคืน ส่วนเด็กๆกลางวันอาจตกไปได้ ส้วมนี้ของใครก็ของมันไม่ปะปนกันเป็น ครัวๆ อาแป๊ะอาซี้ซิ้มนี่รวมเป็นส้วมหนึ่งครัว ส่วนของคนอื่นๆบาง ที 5-6 เจ้าถึงจะรวมเป็นส้วม หนึ่งใบและการตักของใครก็ของมัน เขาซื่อสัตย์ต่อกันไม่ตักของคนอื่นไปใช้อย่างนี้เป็นต้น เมื่ออาเจ๊อั้ง มาเรียกเรา เราก็พากันไป ส่วนผู้ใหญ่เขาเตรียมอยู่แล้ว พออาเจ๊อั้ง มาเรียกไปก็ไปกัน เด็กๆไปช่วยตักน้ำและพรวนดินบ้างนิดๆ หน่อยๆ โดยเฉพาะเก็บหญ้าเก็บอะไรระหว่างทางเราเจอะกิ่งไม้ หรือมีอะไรที่ไหนหน้าที่เราจะต้องเป็นคนเก็บ เก็บใส่ถุงเพื่อจะทำ เป็นเชื้อเพลิง ที่สวนนี่จำไม่ได้ว่าเราเดินผ่านไปไกลสักเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าไม่ไกลเท่าที่ไปนา ทุกๆวันที่ไปเรารู้สึกยินดีต่อการเจริญ เติบโตของผักและหัวผักกาด เพราะมันเติบโตได้รวดเร็วเหลือเกิน ทั้งนี้เพราะเมืองจีนมีอากาศหนาว ไม่เหมือนเมืองไทยเรา เมือง ไทยเรามันจะปลูกหรือเจริญเติบโตได้เฉพาะหน้าหนาวหน้าเดียว แต่เมืองจีนนีปลูกได้ทั้งปีเลยเพราะอากาศมันจะเย็นเยือกอย่างนั้น ตลอดปี ถึงเวลาหน้าหนาวก็หนาวเอาจริงๆ บางครั้งก็ถึงขนาด หิมะตกเลยทีเดียว เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว พวกเด็กๆเรารู้สึกว่าดีใจ มากเพราะจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะไช้เท้า จะได้เก็บเกี่ยว ก่อนใครเพราะว่าอายุสั้นกว่า ส่วนผักกาดตั่วไฉ่ที่ใช้ไปดองเค็มนั้น เก็บเกี่ยวได้ช้าหน่อย แต่ว่าต้นโตมาก ปลูกร่องนี้กินไปได้ทั้งปีเลย สำหรับไช้เท้าบางทีก็ต้องปลูกถึง 2 ครั้ง ซึ่งไม่แน่เพราะเราก็ไปได้ เพียง 6-7 เดือนเท่านั้นเองยังไม่ครบรอบปี แต่ก็ทำผักถึง 2 ครั้ง ส่วนมันเทศนั้นคนจีนเรียกฮงกั่วะ มันเทศที่ลงหัวนั้น เมื่อขุดดินที่ ร่องออกมาตากแดดให้แห้ง ตากแดดเพื่อกำจัดเชื้ออะไรในดินให้ หมดไปแล้วจึงนำเถามันฝังลงไปในดินเป็นท่อนๆ ซึ่งเราคิดไม่ถึง เลยว่ามันทำไมงอกได้ ถามเขาเขาก็บอกอย่างนี้แหละต้องทำกัน อย่างนี้เพียง 10 กว่าวันต่อมา มันนั้นก็แตกเถา แตกปริ่มยอดออก ค่อยๆยาวออกมา ซึ่งขณะเล็กๆเรารู้สึกว่ามันมหัศจรรย์เหลือเกิน ทำไมมันค่อยๆยาวออกมาทั้งๆไม่มีหัวไม่มีเถา ไม่มีอะไรเลย เถา มันเฉยๆก็ปลูกขึ้นได้ เราให้รู้สึกสงสัยเป็นกำลังเมื่อตอนนั้น การ ปลูกมันนี้ต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนจึงจะลงหัว การเก็บเกี่ยวนั้นโดย เฉพาะหัวผักกาดหรือไช้เท้า รู้สึกว่าหัวมันจะโตมากกว่าเมืองไทย ทั้งนี้เราเข้าใจเอาว่าอากาศหนาวเป็นเกณฑ์ ทำให้มันเจริญได้มาก และโดยเฉพาะน้ำอุจจาระทั้งคนและหมู ส่วนอุจจาระควายนั้น เขา เอาไปตากแห้งไว้ สำหรับเอาไปยาภาชนะไม้ไผ่ที่สานไว้จะยาด้วย ขึ้ควายแล้วปนอะไรอีกเราก็ไม่รู้ แต่บางทีถ้าเหลือมากๆเขาก็เอา มาใส่ในนี้เหมือนกัน ฉะนั้นไอ้เรื่องปุ๋ยนี่ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหานำเอา อุจจาระหมู อุจจาระคนแค่นี้ก็เพียงพอ แต่จำไม่ได้ว่า 3 วันหรือ7
วันครั้งหนึ่ง ที่เขานำไปให้ปุ๋ยแก่ผักที่ปลูกไว้ ถ้าหากให้กระชั้นไป ผักมันจะตายบางทีก็แง่นไปเลย ให้บ่อยนักไม่ได้เขาบอกว่า อุจจาระมันเค็ม ปุ๋ยมันเค็มเขาเรียกปุ๋ยไม่เรียกอุจจาระ นอนกลาง คืนก็เหมือนกัน ตอนกลางคืนเรานอนเขาจะต้องมี"เหยี่ยเฮีย" ไว้ปัสสาวะตอนกลางคืน เมื่อเราปัสสาวะตอนกลางคืนรุ่งเช้าขึ้นมา ผู้ใหญ่เขาจะมาเก็บเตรียมเข้าไว้ หลายๆเจ้าแล้วก็จะไปเทใส่ใน ส้วมนั้น เพื่อเป็นปุ๋ยต่อไป เขาบอกปัสสาวะนี่เป็นปุ๋ยดียิ่งกว่า อุจจาระเสียอีก การเก็บเกี่ยวเขาจะถอนทั้งต้นมาเลย รวมทั้งตั่วไฉ่ หรือผักที่มาดองเค็มและไช้เท้าหรือผักกาดหัว ถอนทั้งต้นทั้งใบมัน มาหมดเลย มาตากให้แห้งหลายวัน แล้วจึงจะไปคลุกเคล้าเกลือ และยัดใส่ไหเพื่อเอาไว้กินต่อไป ส่วนหัวผักกาดนั้นเขาก็ตากแดด รู้สึกว่าจะตากนานจนกระทั่งมันเหี่ยวมากๆ แล้วจึงไปคลุกเกลือ ถ้า คลุกเกลือก่อนมันจะเหี่ยวยากต้องตากหลายวัน แล้วก็ยัดใส่ไห เหมือนกัน เอาไว้กินเป็นอาหารประจำวันกินกับข้าวต้มเป็นกับข้าว หลักคนจีน เก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ละครั้ง พวกเราเด็กๆรู้สึกว่าสนุก สนานดี หลายๆคนวิ่งไล่จับกันบ้างอะไรบ้าง ผู้ใหญ่ก็ดุ เราก็อดเล่น ไม่ได้ เพราะเด็กๆมันอยู่นิ่งไม่ได้ มันจะต้องซุกซนไปเรื่อยๆอย่างนี้ เห็นผลผลิตแล้วรู้สึกดีใจมีชีวิตชีวา ส่วนการทำนาข้าวนั้นรู้สึกว่า ต้นข้าวมันไม่ค่อยยาวเหมือนกับเมืองไทยเรา ที่บางมูลนากรู้สึกว่า มันยาวมาก ต้นมันสูงแต่ที่เมืองจีนต้นประมาณ 60-70 เซนติเมตร เท่านั้นเอง เมื่อข้าวแก่ได้ที่แล้วเขาก็นัดวันไปเก็บเกี่ยวกัน เด็กๆ เราไม่ได้ทำอะไร ผู้ใหญ่ก็ไปเอาเคียวเกี่ยว เกี่ยวๆๆๆๆ ที่เกี่ยวก็ เกี่ยวไป ที่ฟาดก็ฟาดไป ส่วนเด็กๆก็คอยกวาดข้าวที่ฟาดหรือที่หก ตกหล่น รู้สึกว่ามีชีวิตชีวาเหลือเกินเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเก็บ เกี่ยวผักหรือเก็บเกี่ยวข้าวอย่างนี้ การเก็บเกี่ยวนั้นรู้สึกว่าหน้าที่ เป็นของผู้ใหญ่ทั้งหมด สำหรับเด็กนั้นก็คอยให้ผู้ใหญ่ใช้เท่านั้นเอง เมื่อยังไม่ได้ใช้เราก็เล่นกันไปไล่จับกันบ้าง จับจิ้งหรีดบ้างจับเอา หญ้ามาตีกันบ้าง ไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ใหญ่เรียกใช้ ถึงจะรีบไปให้ นำ ฟางข้าวไปทางไหนก็ไปตามแต่ผู้ใหญ่จะใช้ การนวดข้าวของเมือง จีนนั้น เขาไม่ได้เอาควายมาย่ำเหมือนของเมืองไทยเราแต่ที่เมือง จีนนั่น เกี่ยวมาแล้วก็ฟาดเลย ฟาดไปที่ถังไม้ ถังไม้เขาจะมีไม้เป็น รูๆรองอยู่แล้ว ฟาดลงไปให้เมล็ดข้าวมันตกลงไปในถัง ส่วนฟาง ข้าวก็ใช้ให้พวกเด็กๆมาเก็บออก ที่มันฟาดออกไม่หมดก็ต้องมา ช่วยกันเก็บออก เก็บเกี่ยวข้าวแต่ละครั้งรู้สึกว่าไม่มากเลยประมาณ สัก 3-4 หาบเท่านั้นก็หมด ใช้คนหาบบ้าง บรรทุกหลังควายบ้าง ส่วนเด็กๆนี่จะขี่ควายไม่ได้จะต้องเดินไปสำหรับเราการเก็บเกี่ยว ขณะนั้นเรานั่งบนคอควายเฒ่าไปเลย ตอนหลังเรานั่งซะจนเคยเลย ซึ่งผู้ใหญ่ไปด้วย แม้นจะเจอะควายคู่อริที่เคยขวิดกันมา พวกเด็กๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่กล้าที่จะบังคับควายให้เข้ามาขวิดกัน เพราะ ฉะนั้นเรานั่งบนคอควายก็รู้สึกว่ามันปลอดภัยดี นาของอาแป๊ะเรา มี 2 แปลง กะดูแล้วรู้สึกว่าประมาณสักงานเดียวหรือไม่ถึงงาน อะไรอย่างนี้ เราก็กะไม่ถูกขณะนั้นมันเล็กๆ ฉะนั้นเก็บเกี่ยวข้าวก็ ได้ประมาณ 4-5 หาบเท่านี้ ขนวันเดียวหมดในวันนั้นเลย ทั้งฟาด ข้าวให้ร่วงลงมาร่วงใส่ถังและเอาใส่หาบใส่รั้วเป็นกระบุงสูงๆ ข้าว ของเมืองจีนเขาฝัดที่ฟาดออกมารู้สึกว่าจะฟาดไม่หมด เพราะมีซัง ข้าวออกมาด้วย เขาก็ใส่รั้วไว้อย่างนั้น รั้วใช้ไม้ไผ่มาสานคล้ายๆ กระบุง แต่ว่าทรงสูงปากกลม เหมือนกระบุงก้นเป็นสี่เหลี่ยม สูง เป็น 2เท่าของกระบุงเรา ตั้งแต่เราไปเมืองจีนจำได้ว่าเราเก็บผล ผลิตของข้าว ครั้งหรือสองครั้งเป็นอย่างมากเท่านั้นเอง เพราะเรา ไป 6-7 เดือนขนาดนี้ ขณะทำนา เขาก็สูบน้ำในคลองเข้านา จำได้ ว่าน้ำในคลองไม่เคยแห้งเลยตลอดทั้งปี น้อยลงไปหน่อยหรือเพิ่ม มากจนกระทั่งเต็มคลอง ฉะนั้นตอนจะเกี่ยวข้าวนี่เขาจะปล่อยให้ น้ำแห้งไม่สูบน้ำเข้าไปอีก หรือไม่อย่างนั้นก็ขุดคันนาให้น้ำลงคลอง ไปให้แห้ง เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว เขาก็ตากไว้ 5-6 วันจนกระทั่งดิน มันแห้งพอเริ่มแห้งแล้ว เขาก็ตากเข้าไว้ เขาบอกว่าเป็นการฆ่าเชื้อ ฆ่าพวกหนอน อะไรพวกนี้ให้มันตายไป ก็เริ่มลงมือสูบน้ำเข้าใหม่ การสูบน้ำเขาเป็นรางยาวๆ เพราะว่าลำคลองมันลึกมาก ถ้าหากว่า น้ำมากหน่อยเขาก็ทอดให้รางกินน้ำให้ทอดยาวออกไปหน่อย ถ้า ว่าน้ำมันลึกเขาก็ตั้งหน่อย ที่เมืองไทยเราเขาใช้มือผันรางซึ่งมัน เหนื่อยมาก นี่เขาใช้คนขึ้นไปเดินบนโขดไม้ให้รางมันไปเรื่อยๆ ถ้า เดินผู้ใหญ่คนเดียวก็จะต้องใช้กำลังมากหน่อยและมันเดินช้า ฉะนั้นจะต้องผู้ใหญ่เดิน 2 คนแต่ถ้าผู้ใหญ่เดินคนเดียวเด็กต้องเข้า ไปช่วยด้วย 2 คนและจะมีทางที่เดินเป็นตะปุ่มๆ ให้หมุนรางเหมือน เราถีบจักรยานอย่างนั้น การถีบน้ำเข้านาใหม่ๆ เรารู้สึกว่าสนุกเป็น ที่สุดเลยไม่มีอะไรที่จะสนุกเท่ากับเดินบนโขดไม้ที่ที่เขาทำเหมือน เป็นจักรยาน แต่เป็นซี่ๆๆหลายๆซี่และรางมันจะหมุนไปช้าๆ เหมือนกับเราก้าวเดินไปแล้ว ข้างบนเขาจะมีราวให้จับโหน สำหรับ เด็กแล้วสุดเอื้อมเลยอย่างเราตัวเล็กๆอย่างนี้ แต่สำหรับผู้ใหญ่แล้ว อยู่แค่หน้าอกหรือสูงกว่าหน้าอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาจะเอารัก แร้พาดลงไปบนนั้นอย่างนี้เป็นต้น สำหรับรางที่เมืองไทยเราถ้ายาว หน่อยเขาจะใช้เครื่องยนต์ปั่น แต่ที่เมืองจีนไม่มีเครื่องยนต์ใช้แต่ แรงคนเท่านั้นเอง นี่เป็นขณะที่สมัยเราเด็กๆ แต่สมัยนี้จะมีเครื่อง ยนต์หรือเปล่าไม่รู้นะ เมื่อเกี่ยวข้าวแล้วฟาดลงถังไปใส่รั้วแล้ว ก็ ต้องเอาไปตากแดดอีก 2-3 แดด ตากจนกระทั่งข้าวแห้งสนิทจึงเอา ใส่รั้วแล้วก็เก็บไว้ในบ้าน เพื่อจะได้นำมากินกันต่อไป การกินก็ เหมือนกับกินในเมืองไทยอย่างนั้น ไม่ได้ผิดกันเลยคือจะต้องนำไป สี ที่โม่เขาทำด้วยไม้ไผ่ และปูนเหมือนกับพื้นบ้านเรานั้น เมื่อโม่ เสร็จแล้วก็จะนำไปฝัดเอาข้าวกล้องออกมา ส่วนข้าวเปลือกก็จะ กลับไปโม่ใหม่ ข้าวกล้องก็เอาครกกระเดื่องตำอีกที ข้อนีเมืองจีน กับเมืองไทยไม่ได้ผิดกันเลยแม้แต่น้อยจนกว่าจะขาวเรื่อๆ เขาไม่ ให้ขาวมากนัก ขาวมากก็เปลือง ส่วนรำก็ต้องนำมาฝัดให้รำออก รำนั่นก็จะนำไปเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่อีกที การทำสวนทำนาและการเก็บ เกี่ยวผลิตผลที่เราประสบมา ยายจ๋าแม่จ๋าอาเตียจ๋าซึ่งที่ลูกไม่เคย ลำบากในเมืองไทยก็ได้มาประสบแล้วลำบากแล้ว ณ ที่แห่งนี้


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.