วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน09"ชะตาชีวิตของการอยากเรียนหนังสือ"

เมื่อเราออกไปเลี้ยงควายเฒ่ากับอาเจ๊อั้งจำเป็นจะต้องเดิน ผ่านหน้าโรงเรียนทุกวัน โรงเรียนเขาเป็นกำแพงล้อมรอบมีประตู จัดไว้อย่างสวยงามเลย แต่เป็นโรงเรียนที่เป็นตึกชั้นเดียว ตัวโรง เรียนกว้างขวางมาก แต่สิ่งที่น่าสนุกที่สุดตอนขาไป บังเอิญบางวัน เขาหยุดเรียนกลางวัน เด็กๆออกมาวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าว บางคนก็เล่น เพ้ากิ้ว บางคนก็เล่นกระโดดเชือก บางคนก็เล่นวิ่งไล่จับกันเจี๊ยว จ๊าว น่าสนุกดีเหลือเกิน แต่ว่าครูหรือซินแสนั้นเรายังไม่เคยเห็น แม้นแต่ครั้งเดียวเลย โรงเรียนหลังใหญ่พอดูในขณะนั้นซึ่งเป็นชน บทเล็กๆของเมืองจีนเป็นของบ้านอาเตียเรา ส่วนบริเวณสนามนั้น รู้สึกกว้างขวางมาก แต่เขาไม่ได้เป็นสนามหญ้า เมืองไทยเราจะ เป็นสนามหญ้าเล่นบอลเล่นอะไรกันนี่ เป็นสนามที่โบกปูนทั้งหมด ทั้งโรงเรียน และหน้าประตูจะมีมังกรแบบ ศิลปะกรรมของจีนคล้าย กับเมืองไทยที่เป็นศาลเจ้าหรืออะไรพวกเนี่ยะ แต่ไม่เหมือนกันที เดียว เพราะเป็นสถานที่เรียน เพราะว่าประเพณีทรงเจ้าเข้าผีหรือ ศาลเจ้านี่ผิดกันอยู่มากเหมือนกันแต่ขณะนั้นเรายังเล็กเราไม่ได้สังเกตุ หรือมีความรู้เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมจีนแต่โบราณมา เราจึงรู้สึกว่า มันจะคล้ายคลึงกันแต่ว่าก็ผิดกันบ้าง จัดสีสันไว้อย่างสวยงามเลย ทีเดียวแต่ว่ามันน่าอภิรมย์ น่าจะเข้าไปในบริเวณนั้น แต่ว่าวาสนา เราไม่มีเลย เราจึงได้แต่มองดูแต่ข้างนอกเท่านั้น แม้แต่ย่างก้าวเรา ก็ไม่กล้าเข้าไป เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเราจะเล็กกว่าบ้างโต กว่าบ้างเห็นเราไปกะลิ้มกะเหลี่ยอยู่ ก็ออกมาพูดว่าไม่อยากเรียน บ้างหรือไง พูดเป็นภาษาจีนเราก็ไม่ตอบ อาอั่งเจ๊ก็รีบเรียกให้เรา ไปๆๆ เพราะว่าถูกสายตาเด็กๆพวกนั้นแล้วแกรู้สึกละอาย แต่เราสิ ไม่ใช่นึกละอายแต่วาสนา เราดูเด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานเต็ม ไปด้วยชีวิตชีวาอย่างไร้เดียงสาก็ปานนั้น ทำให้เรารู้สึกอิจฉาริษยา เสียเหลือเกิน ทำไมถึงมีวาสนาดีแต่เราสิอาเตียเราไม่ได้อินังขังขอบ เราเลย นำเรามาปล่อยเกาะอยู่ที่นี่แต่ลำพังคนเดียว มีญาติก็เสมือน ไม่มี เพราะไม่มีใครส่งเสริมเราให้ได้รับการเล่าเรียนเลยเราคิดขึ้น มาน้ำตาก็ซึมเบ้า ไม่อยากอิดเอื้อนไม่อยากจากไป ยังอยากดูโรง เรียนอยู่นานๆแต่อาอั่งเจ๊ก็พยายามเร่งให้เรา ไปถึงขนาดมาฉุดเรา เราก็ไม่ยอมไปแกก็ต้องใช้วิธีเขกหัว เขกหัว แล้วเราทนเจ็บไม่ได้ ก็จำเป็นจำใจจะต้องไปเพื่อไปเลี้ยงควาย ครั้นตอนขากลับได้ยิน เสียงอ่านหนังสือกันแล้วรู้สึกว่าเป็นเสียงสวรรค์เสียนี่กระไร เต็มไป ด้วยความน่าอภิรมย์เต็มไปด้วยความน่ารักน่าได้ยิน น่าได้ฟัง ใน ขณะนั้นเสียงอ่านหนังสือความรู้สึกเราประหนึ่งคล้ายกับเพลง สวรรค์ชั้นฟ้าก็เปรียบปาน ซึ่งบรรเลงเพลงผ่านแก้วหู แต่ทำให้เรา เคลิบเคลิ้มเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อยากเข้าไปสู่การเรียน ของโรงเรียนนี้บ้าง แต่โอ้อนิจจาวาสนาเรามันไม่ถึงเลย เราเพียงแต่ นั่งเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลินไปกับเสียงเรียนเสียงอ่านหนังสือของ เพื่อนๆ ซึ่งคล้ายประหนึ่งยิ่งกว่าเสียงดนตรีสวรรค์ก็มิปาน เรา เคลิบเคลิ้มเราดื่มด่ำ ประหนึ่งว่าเรากำลังอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าก็ มิปาน เราเคลิบเคลิ้มเราหลงใหลช่างเป็นเสียงสวรรค์เสียนี่กระไร เลย โอ้อนิจจังอนิจจาเราดื่มด่ำอยู่ได้นานเท่านานตอนเย็นนี่อาเจ๊อั้ง ก็คงจะมีอารมณ์เคลิ้มคล้ายกับเราเหมือนกัน แต่ว่าตัวเองก็ไม่มี วาสนาเหมือนกัน เพราะว่าเมืองจีนเขาถือว่าผู้หญิงเรียนไปก็เท่านั้น ให้เรียนเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงเมื่อแต่งงานไปแล้วก็แทบจะไม่ กลับบ้านอีกเลย พ่อแม่พี่น้องไม่ได้พึ่งพาอาศัยเลย ไปก็ไปสร้าง ความเจริญให้สามีไปกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของสามี และเลี้ยงลูก เลี้ยงเต้าทำความเจริญปรนนิบัติผัวเพราะเป็นประเพณีนิยมตั้งแต่ ครั้งโบราณกาล เพราะฉะนั้นพ่อแม่จึงไม่มีกะจิตกะใจจะให้เรียน เพราะเรียนไปก็เท่านั้นพ่อแม่มิได้พึ่งพาอาศัยเลย เพราะถือว่าเป็นขี้ ข้าของครอบครัวอื่นอะไรปานนั้น เราดื่มด่ำต่อเสียงเล่าเรียนเขียน ต่อเสียงของเพื่อนๆเราและเสียงของคุณครูซึ่งก็ดังมาพอจะให้ได้ ยินได้ ส่วนควายนั้นก็ยืนเบิ่งอยู่หน้าโรงเรียนนั่นเอง มันเชื่องไม่ไป ไหนและเป็นกิจวัตรที่เรามา เราจะต้องมานั่งอย่างนี้ ตอนขากลับ เราจะอยู่ได้นานหน่อย เพราะว่าเด็กๆเพื่อนๆเราที่เป็นนักเรียนไม่ ได้มาดูเรา อาเจ๊อั้งก็มิได้เขินดั่งที่เหมือนกับตอนขาไป แกเขินที่ เหล่าเพื่อนๆนักเรียนได้มาชักชวนให้ไปเข้าเรียนเหมือนเขาเหล่านั้นบ้าง ดังนั้นขากลับจากเลี้ยงควาย เราจึงอยู่ได้นานเท่านาน แต่ว่าตะวัน รอนๆจะได้เวลาอาบน้ำแล้ว พออาเจ๊อั้งได้สติขึ้นมาก็รีบเร่งเร้าให้ เรากลับบ้านเพื่อจะได้ไปทำกิจวัตรอย่างอื่นต่อไป ส่วนควายนั้นมัน เร่งเราไม่ได้ ได้ไม่ได้ก็ร้อง ซึ่งก็เสมือนเป็นการเตือนเราเหมือนกัน เราจึงตื่นจากภวังค์ที่ได้เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำไปกับการเรียนหนังสือ ซึ่ง ชีวิตเรานี้เห็นจะไม่ได้มีโอกาสอย่างนี้เป็นแน่แท้ เราเศร้าใจในความ อาภัพของเราในขณะนั้นเป็นที่สุดเลย โอ้ยายจ๋า แม่จ๋า อาเตียจ๋า ทำไมมาปล่อยให้เราอยู่อย่างอ้างว้าง มีญาติมิตรก็เสมือนไม่มี ไร้คน ที่จะอินังขังขอบต่อเรา มีอาซี้ซิ้มที่พอจะมีน้ำใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีสิทธิ มีเสียงที่จะจัดการหรือทำอะไรให้เราได้เลย เราตื่นภวังค์มาแล้ว เรา ก็จำใจจำจากต้องตามต้อยๆจูงควายตามอาเจ๊อั้งไป และในที่สุดเรา ก็นั่งคอควายกลับไปที่บ้านที่เมืองจีนตามกิจวัตรประจำวัน เพื่อ เตรียมตัวไปอาบน้ำ ดังที่เคยปฏิบัติมาทุกวันๆ ต้องทำกิจกรรมให้ เสร็จเรียบร้อยซะก่อน ถึงจะไปอาบน้ำได้


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002..