วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน11 "ถูกสอนให้แย่งเอาซึ่งๆหน้า"

เมื่อเราอยู่เมืองจีนหน้าฝนมาถึง หญ้าของควายก็อุดมสม บูรณ์ ข้าวก็งามดีจึงไม่ต้องไปเลี้ยงควาย เพราะตัดหญ้าให้ควายกิน อยู่ในคอกได้ เราจึงว่างจากการเลี้ยงควายเป็นบางวัน และถูกใช้ให้ ไปเลี้ยงควายและเกี่ยวหญ้าเอาสต๊อกไว้เป็นบางวัน จึงว่างและพอ วิ่งเล่นได้เป็นบางวันแล้วแต่อาแป๊ะและอาอึ้มจะใช้เรา เมื่อฝนมาพี่ ชายเราสมคบกันกับเพื่อน 2-3 คนซึ่งไปรู้เบาะแสว่ามีลำใยปลูกไว้ ริมน้ำและกำลังแก่เต็มที่ พอที่จะไปขโมยกันมากินกันได้ตามวิสัย ของหนุ่มๆผู้คึกคะนอง เราก็ถูกบงการให้ไปด้วยเพราะว่าเราดำน้ำ ได้อึดดีกว่าพวกเขาทุกคน หน้าฝนมีเรือที่จะพายไปได้ตามลำ คลองต่างๆเพราะน้ำเกือบเต็มฝั่งลำคลอง เพราะไม่ใช่แม่น้ำ ส่วน แม่น้ำที่อาเตียเราพูดถึงนั้นเต็มฝั่งอยู่ตลอดเวลาเป็นความจริง แต่ เป็นแม่น้ำที่นิ่งไม่ไหลเหมือนกับแม่น้ำในเมืองไทยเรา เขาเรียกว่า "เคย"แปลว่าแม่น้ำ เราเข้าใจว่า"เคย"หรือแม่น้ำนั้นความจริงไม่ใช่ แม่น้ำแต่เป็นคลองขุด ซึ่งเขาขุดขึ้นติดต่อไปถึงแม่น้ำจริงๆ ซึ่งมี เขื่อนและมีคันคลองของแม่น้ำซึ่งสูงมาก และมีเขื่อนบังคับให้น้ำ ไหลเข้ามาในคลองขุดที่ขุดเข้าไว้ เขื่อนกั้นริมแม่น้ำกั้นเป็นคันดิน ทั้งหมดแต่ว่ากว้างมาก ที่บ้านเราเขาไปหมู่บ้านกือมุยเฮีย เราก็ไม่ เคยไปถึงและการแข่งเรือก็แข่งกันปีละหลายครั้งเหมือนดังคำบอกเล่า ของอาเตียเราไม่ผิด มีคนมาดูการแข่งอย่างล้นหลามเหมือนกัน และการแข่งของแต่ละคณะที่มาแข่งนั้นแต่งตัวประกวดประชันกัน อย่างร่าเริงเสมอ แต่เป็นเรือมังกรที่ลำไม่ยาวเหมือนการแข่งเรือที่ เมืองไทยเรา เพราะเรือมังกรนั้นแม้นจะสลักอย่างสวยงาม แต่ก็ลำ สั้นไม่เกิน 20 คน เราจำได้ว่าประมาณสัก 11-13 คนขนาดนี้ ไม่ เหมือนเมืองไทยซึ่งลำละหลายสิบคนเพราะเรือยาวและนั่งเรียงสอง แต่ที่นี่นั่งเรียงหนึ่งเท่านั้น นั่งเรียงหนึ่ง 14 คนก็รู้สึกว่ามันยาวพอดู ที่เราไปเมืองจีนตลอดระยะเวลา 7-8 เดือนเราก็จำไม่ได้ จำได้ว่า แข่งเรือถึง 3 ครั้งไปแล้ว แต่ในที่นี้จะไม่ขอพูดถึงการแข่งเรือซึ่งจะ ได้กล่าวถึงตอนหลังๆต่อไป ตอนนี้กล่าวเฉพาะที่ถูกสอนให้เป็น ขโมยซึ่งๆหน้าซึ่งเริ่มแต่พี่ชายเราสองคนคบกับเพื่อนอีก 2-3 คน รวมเป็น 4-5 คนและมีเราพ่วงปิดท้ายเป็นเด็กไปด้วยคนหนึ่ง พาย เรือไปเที่ยวกันและจอดอยู่ฝั่งริมคลองของต้นลำใยที่ใกล้ริมน้ำซึ่ง ดกมาก มีก้านและลูกลำใยห้อยโทงเทงลงมาเกือบจะถึงน้ำและบาง ส่วนก็ถูกน้ำอยู่ด้วย เป็นเวลาที่ลำใยลูกโตมากแล้ว เมื่อเรือจอด และบังเอิญฝนตกจั๊กๆๆใหญ่โตเลยพวกเราก็จอดเรือและสมคบ กันว่าจะดำน้ำไปฝั่งตรงข้ามพร้อมกับหักลำใยมาใส่เรือ ผู้ที่ส่งไป ชิมลางก่อนก็คือเราเพราะเป็นเด็กกว่าเขาและเฉพาะ การดำน้ำเรา ดำได้อึดนานกว่าเขา ซึ่งตอนหลังๆเรามาเมืองไทยแล้วได้ทดลองดู สามารถกลั้นหายใจได้เป็นเวลา 1 นาทีเศษๆ ในขณะอยู่เมืองจีน อาจจะดำไม่ได้ถึง 1 นาที แต่มาเมืองไทยแล้วเราชอบดำน้ำแข่ง กันใครจะอึดกว่ากันอย่างนี้เป็นต้น จึงทำให้สามารถกลั้นหายใจได้ นานถึงขนาด 1 นาที เมื่อเราได้ดำน้ำไปหักลำใยชิมลางก่อนกลับ มานั้นไม่เป็นที่พอใจของพวกพี่ๆเลย เพราะเราตัวเล็กเราหักลำใย ได้มาไม่มาก ได้มาเพียงนิดๆหน่อยๆเพราะเราหักไม่เป็น พวก พี่ๆโมโหมาก ใช้ให้ดำไปใหม่พร้อมกับสอนวิธีหักลำใยให้ว่าจะต้อง เอาที่มีลูกมากๆแล้วหักแต่ก้านๆต้นๆเลย ไม่ใช่เอาเฉพาะปลายๆ มาไม่มีกิ่งไม่มีลูกอย่างนี้ เราไปสักสองสามครั้งก็บังเอิญฝนตก อย่างหามรุ่งหามค่ำเลย ตกอย่างแรงเลย สาเหตุนี้เป็นเหตุให้พวก พี่ๆทั้งหมดเฮโลกันไปหักลำใยด้วยตัวเองโดยไม่ต้องดำน้ำหัก ได้ แล้วก็ขนกลับมาใส่เรือ รู้สึกว่าได้เกือบครึ่งลำเรือ พอดีฝนหยุดตก พวกพี่ๆก็เลยพากันพายเรือกลับมาแทนที่จะกลับไปบ้านของแต่ละ คน ไม่มีใครกลับเลย พากันขนลำใยขึ้นไปกินบนเหลี่ยงเต้ง ซึ่งเรา กลัวจนไม่สามารถที่จะปีนขึ้นไปได้ ดังนั้นเราจึงกินลำใยเฉพาะอยู่ ในเรือเท่านั้นเอง เมื่อพวกพี่ๆขนขึ้นไปบนเหลี่ยงเต้งแล้วเราก็ไม่มี ส่วนเลยแม้นแต่น้อย ต่อจากนั้นอีกประมาณสัก 10 วัน พวกพี่ๆก็ เกิดได้ใจได้นัดแนะกันใหม่ เพื่อไปขโมยลำใยสำหรับมาเลี้ยงกิน กันอีกและก็พอดีมีเราพ่วงท้ายไปด้วยเสมอ เหตุผลก็คือเราดำน้ำ ได้นานกว่าเขาเท่านี้ ไปครั้งที่สองฝนไม่ตกจึงพายเลยเหนือขึ้นไป ก่อน ต่อเมื่อเห็นว่าฝนกำลังตกหรือเกือบตกแล้ว จึงรีบพายเรือ ย้อนกลับมาอีกเมื่อถึงที่นั่นฝนก็กำลังตก พวกพี่ๆคราวนี้ไม่ต้องให้ เราไปชิมลางก่อนแล้ว พวกพี่ๆว่ายน้ำไปเลยไปขนมาได้เที่ยวหนึ่ง พอเที่ยวสองถูกเจ้าของเขาไล่ตะเพิดมา พร้อมกับเสียงประทัดดัง โป้งป้างๆ จุดมาทั้งๆที่ฝนกำลังตกอย่างนั้น ซึ่งพวกพี่ๆกลัวจน หน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆกัน เฉพาะเที่ยวนี้ได้ลำใยมานิดเดียว ฉะนั้นเมื่อขากลับมา เราจึงไม่มีหุ้นส่วนแม้นแต่น้อย ทั้งนี้เป็นเหตุ ด้วยไปครั้งแรกนั้นเจ้าของเขาสำรวจคงจะเห็นว่าลำใยหายไปเยอะเขาจึง ระวังตัวอยู่ตลอดมา และสาเหตุนี้เองเป็นเหตุให้ทางผู้ใหญ่ทาง เฮียลี่อื่นได้ฟ้องมายังเฮียลี่เราหรือหมู่บ้านเรา ซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้มา ไต่สวนกันยุ่งหมดเลย ซึ่งขณะนั้นเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขามาเอาพวก พี่ๆไปสอบสวน ส่วนตัวเรานั้นเพียงแต่รับรู้เท่านั้น ส่วนพี่ๆถูกเฮีย ซิงผู้ใหญ่บ้านตำหนินำไปว่ากล่าวตักเตือนจนทุกคนกลัวหงอไป หมด ต่อมาถึงหน้าเกี่ยวข้าวพวกเราก็พากันไปเกี่ยวข้าวซึ่งเราเอง เราเกี่ยวไม่เป็นก็ได้ติดตามไปเท่านั้นเอง เพียงแต่เขาใช้ขนฟางไป ไว้ที่โน่นไปไว้ที่นี่ ที่เขาเกี่ยวเสร็จแล้ว เขาฝัดข้าวเขาตีข้าวหลังจาก เขาฟาดข้าวฟาดจนเม็ดข้าวตกลงไปในถังหมดแล้ว ฟางข้าวที่เขา จะทิ้ง พวกเด็กๆเราก็ไปขนมารวมกอง พร้อมกับถูกใช้ให้เก็บรวง ข้าวที่ยังฟาดไม่หมดออกจากฟางข้าว พวกเด็กๆเราก็สนุกไม่ใช่ เล่นเหมือนกัน เรากับน้องเราหย่งบัก หย่งก้อลูกของอาแป๊ะรวมทั้ง อาอั้ง อาเง็กด้วยสนุกกันเป็นการใหญ่เลยเพราะว่าถูกใช้ให้ไปเก็บ ข้าวและขนฟาง รู้สึกว่าตอนเด็กๆทำอะไรก็มีชีวิตชีวาไปเสียหมด อะไรก็สนุกไปเสียหมด ทั้งๆที่ความจริงเราทุกข์ทรมานห่างพ่อห่าง แม่ แต่เสร็จแล้วเราก็มีความสนุกอยู่ในตัวตามประสาเด็กๆ วันนั้น ทั้งวันพวกเด็กๆทั้งหมดเล่นกันอย่างมีความสนุกที่สุดเลย เพราะ ได้ออกกำลังขนฟางกลับมาแล้วก็มากองแล้วก็มาผูก ผู้ใหญ่เขา จะเป็นคนมาผูกให้เป็นฟ่อนใหญ่ๆ พวกเราสนุกอยู่จนกระทั่งเวลาเย็นมากความจริงทำจนค่ำนะ หิวข้าวมากแต่ว่าพี่ชายเรา สองสามคนก็พยายามพาเราไป เพื่อใช้ให้เราไปลักฟางข้าวของคนอื่นซึ่งนาห่างไปอีกมาก ไปถึงไม่มีคนอยู่ พี่ชายเราก็เอาฟาง ข้าวมาสักฟ่อนสองฟ่อนใส่หลังควายมา เพื่อนำมาสมทบกับฟาง อันเก่า พอไปเที่ยวสองบังเอิญเจ้าของเขามาเห็นเข้าพี่ชายเราโต แล้วก็ไม่กล้า เอาแต่บงการเราอย่างเฉียบขาด ให้เราไปเอามาให้ ได้ เรางี้ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยเราก็ไปเอามาซึ่งๆหน้านั้น ผู้ใหญ่ เขาแก่มากแล้วเขาเห็นเราเป็นเด็กๆแล้วก็เอาไม่ได้เยอะส่วนพี่ ชายนั่นเอาฟ่อนใหญ่ๆเลย เราก็เอาหอบเล็กๆเท่านั้นเอง เมื่อ เห็นเจ้าของใจดีพี่ชายเราก็ยิ่งบงการใหญ่ ไปเอามาอีกๆเราก็จำ ใจต้องไปเอาอีกสองหรือสามครั้ง เจ้าของเขาก็บอกพอๆๆเดี๋ยว อั๊วจะไม่มีพอหุงข้าวหรอกพูดแล้วยิ้มๆ ด้วยความมีใจดีและใจ กรุณา แต่เรานั่นซิคิดขึ้นมาแล้วรู้สึกละอายใจเหลือเกิน ทีเกิดมา แล้วจะต้องมาลักเขากินขโมยเขากินน่าอนาถใจอย่างเหลือเกิน เมื่อกลับมาถึงนาเราแล้วก็เป็นเวลาขมุกขมัวพอดี อาแป๊ะเราก็สั่ง ให้กลับบ้านได้ โดยเอาข้าวใส่ในเลื่อนซึ่งทำด้วยไม้ไผ่เช่นเดียวกับ ที่เมืองไทยเราเหมือนกัน แต่ทว่าเลื่อนของเมืองจีนนั่นเป็นเลื่อนที่ ไม่กว้าง แต่เป็นเลื่อนที่แคบๆยาวๆพอที่จะใส่รั้วหรือกระบุงสูงๆ ของเมืองจีน ซึ่งโตและสูงกว่าของเมือง ไทยเรามากประมาณสัก 3-4 เท่า ส่วนเลื่อนนั้นทำด้วยไม้ไผ่เหมือนกับของเมืองไทยเรา เหมือนกัน แต่ทว่ามีล้อประกอบอยู่ตรงกลางทั้งสองข้างอยู่ทั้ง สองล้อ ล้อนั้นทำด้วยไม้จริงและประกอบด้วยไม้จริงและมีเหล็ก อยู่กลาง ส่วนล้อนั้นเพียงแต่ว่าให้เบาแรงเลื่อน คือหมายถึงว่าหน ทางของเมืองจีนเขาบางแห่งก็เป็นปูนซีเมนต์ก็ทำให้เลื่อนไม่ต้องสึก เพราะเดินด้วยล้อ ส่วนเมื่ออยู่กลางนาล้อก็ไม่จมลงไปมากนักจม ไปนิดหน่อยเท่านั้น เพราะว่ามีไม้ไผ่ขวางอยู่กันไม่ให้ล้อจมลงไป มากอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นเลื่อนของเมืองจีนจึงดีกว่าเลื่อนของ เมืองไทยก็ตรงนี้นิดหน่อย สำหรับเลื่อนของเมืองจีนนั้นติดล้อเพราะ ไม่ต้องการให้เมื่อเดินทางผ่านหมู่บ้านซึ่งเต็มไปด้วยปูนซีเมนต์หยาบๆ เท่านั้น เลื่อนไม้ไผ่จะได้ไม่สึกมากนัก ไม่อย่างนั้นเลื่อนไม้ไผ่จะต้อง เปลี่ยนอยู่บ่อยๆ สักเที่ยวสองเที่ยวก็ต้องเปลี่ยน อย่างนี้จึงดีกว่า เมืองไทยอันนี้ แต่จะว่าเลื่อนเมืองไทยจะว่าไม่ดีก็ไม่ใช่ เพราะ เมืองไทยที่จะผ่านหมู่บ้านที่เป็นปูนไม่มีเลยผ่านแต่ทุ่งนาและดินทั้งนั้น ครั้นจะขึ้นถนนก็เป็นถนนราดยางอย่างขณะนี้ จึงไม่มีความจำเป็น แต่เดี๋ยวนี้ รู้สึกว่าเลื่อนจะใช้ได้น้อยแล้ว เขาใช้สำหรับจากทุ่งนามา ถึงแนวถนนเท่านั้น เมื่อถึงแนวถนนก็ใช้บรรทุกรถอีแต๋นดีกว่าที่จะ ต้องใช้เลื่อน ควายก็ไม่มีให้ใช้ไถนาแล้วใช้รถไถกัน รถอีแต๋นไถได้ เฉพาะไถแปรและไถพรวนเท่านั้น ส่วนไถดะนั้นใช้รถใหญ่เป็นต้น เมื่อขากลับบ้านนั้นเราได้นั่งขี่บนหลังควายเฒ่าตัวที่เราเลี้ยง พร้อม กับน้องเราหย่งบัก หย่งก้อส่วนผู้ใหญ่นั้นเขาใช้เดินเอาอย่างนี้เป็น ต้น เมื่อถึงบ้านแล้วผู้ใหญ่ก็ไปขนอีกเที่ยวหนึ่ง ส่วนเรานั้นหิวมาก มาคอยรับประทานอาหารและไม่ต้องไปอีกในวันนั้น


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.