วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน12"เรามีชีวิตชีวาและสบายใจที่สุด"

ตั้งแต่เราอยู่เมืองจีนเป็นต้นมา วันที่เรามีชีวิตชีวาที่สุด สบายใจที่สุดก็คือหน้าฝนซึ่งเป็นหน้าน้ำหลาก ดินที่ลาดต่ำจะมีน้ำ ท่วมไปทั้งหมดดูเวิ้งว้างไปหมดเหมือนกับหน้าน้ำของเมืองบางมูลนาก เช่นเดียวกัน ฝนตกลงมา 3วัน 3 คืน น้ำในนาก็จะล้นจนกระทั่งลง มาสู่ที่ลาดต่ำทั้งหมด กุ้ง หอย ปู ปลา ก็จะพากันออกมาเริงร่าน้ำ ฝน ส่วนปลาก็จะกระโดดสู่ที่สูงอันเป็นธรรมชาติของปลา ส่วนปูก็ จะออกมาเริงร่าน้ำฝน เราก็จะถูกพี่ชายเราชวนกันไปพร้อมกับ น้องเราหย่งบัก หย่งก้อด้วย ไปดักปลากัน ลงลอบลงไซเสร็จแล้วก็ จะพากันแจวเรือไปดักที่หัวถนน ด้วยสาเหตุที่ใดก็ตามแต่ถนน ตอนนั้นขาดเป็นช่วงๆ ซึ่งเราจำได้ว่าไปแล้วบางทีไปได้ ฮวงแขะ หมายถึงคนที่มาจากเมืองไทย เขาก็จะจ้างเราพาไปส่งที่บ้านเขา แล้วแต่อยู่ห่างไกลแค่ไหน พี่ชายเราก็จะนำไป ได้รับฮวงแขะแต่ละ คนจะมีสัมภาระมามากมาย เพราะจะต้องนำมาแจกพี่น้องในหมู่ บ้านเดียวกัน รวมทั้งเด็กๆเช่นเราเป็นต้น ซึ่งในการไปรับฮวงแขะ นั้นไม่แน่ บางวันก็มีตั้งสองสามราย บางวันก็ไม่มีสักรายเลย หน้า ฝนชุกๆประมาณสักเดือนหรือครึ่งเดือน เราก็จำไม่ได้แน่ เราจะ ออกกันทุกวัน ส่วนควายนั้นพี่ชายเราใช้ฟางเลี้ยง ซึ่งที่เราไปเนี่ยะ ถ้าหากไปเจอะหญ้าที่ไหนที่มันยาวๆหน่อย เราก็จะตัดหญ้าใส่ถุง มา เพื่อฝากควายที่รักของเราตัวเดียว แต่ความจริงมันไม่ได้ฝาก ตัวเดียวมันต้องให้ลูกควายตัวนั้นกินด้วย พี่ชายเราสองคนคือหย่ง อ๊อกับหย่งคุนบางวันก็ได้แบ่งกันคนละเหรียญบางวันก็ไม่ได้เลย ไม่แน่ไม่นอน เราไปเทียวไปดูที่หัวถนนแล้วก็กลับมาดูลอบที่ดัก แล้วก็กลับไปที่หัวถนนไปสักครึ่งถนนไปสักครึ่งทาง ถ้ามีฮวงแขะ มาจะเห็นคนยืนสัก 5-6 คนที่หัวถนน เราก็จะรีบพายเรือไปทันที แต่ไปแล้วบางทีก็ไม่ทันเจ้าอื่นที่เขาฉวยโอกาสมารับฮวงแขะ เหมือนกับเราเช่นเดียวกันเขาชิงไปซะก่อน เราก็อด บางรายไม่ใช่ ฮวงแขะไปที่อื่นมาไม่มีอะไรเลย อย่างนี้พี่ชายเราไปส่งให้ฟรีแล้ว แต่เขาให้ บางทีเขาก็ให้ 5 ลุย 10 ลุย 20 ลุย แล้วแต่เขาจะให้ ไม่ รีบไม่ร้อนอะไรจะเอาขนมให้ ถ้าเอาขนมให้เราก็มีส่วนในการได้กิน ด้วย พี่ชายเราไม่เหมือนอาแป๊ะอาอึ้มเรา พี่ชายเราอารีอารอบ เสมอ เพราะฉะนั้นจึงขอบันทึกความดีไว้นะที่นี้ด้วย ในระหว่างฝน ตกนี้ ถ้าบางวันฝนไม่ตกเราก็ต้องแยกไปเลี้ยงควาย บางวันฝนตก เราก็ไปกับพี่ชายเรา ส่วนพี่ชายเรานี่ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นเขาก็จะ ไปดักลอบดักปลาพร้อมกับเอาข้าวต้มหม้อใหญ่ไป ปูปลาดักมาได้ ก็มาต้มกินกันแล้วก็นำไปฝากบ้านบ้างถ้าไม่เหลือก็แล้วไป บางวัน ดักปลาดักปูไม่ได้ เราซึ่งเป็นหัวหาดจะต้องลงไปงมหอยมาต้ม พร้อมกับใส่เกลือนิดหน่อยจะได้กินกันกับข้าวต้ม บางวันก็ต้มเสร็จ ก็เอาเข็มแกะหอยออกมาเพื่อใส่ในข้าวต้ม ทำเป็นข้าวต้มหอย อย่างนี้เป็นต้น เป็นความสบายใจที่สุดของเราเลยในช่วงเวลาครึ่ง เดือนหรือเดือนหนึ่งเราก็จำไม่ได้ฝนชุกๆ ถ้าฝนไม่ชุกเราก็ต้องไป เลี้ยงควายและขากลับจากการเลี้ยงควายก็ไม่วายที่จะไปนั่งชมเขา เรียนหนังสือกัน เรียนหนังสือรู้สึกว่ามันเป็นภาพที่น่าอภิรมย์เสียนี่ กระไรเลย เราดื่มด่ำต่อการเรียนรู้สึกว่ามันเป็นชีวิตจิตใจของเราก็ ไม่ปานที่เห็นเขาเรียนหนังสือกัน ส่วนมากจะไม่เห็นตัวเด็กนัก เรียน แต่จะได้ยินเฉพาะเสียงที่เขาอ่านตามครูหรือบางคนก็อ่าน โดดๆ ซึ่งเสียงฟังบางทีก็ได้ศัพท์ บางทีก็ฟังไม่ได้ศัพท์ เห็นจะเป็น ด้วยความดื่มด่ำในการเรียน และเราขวนขวายที่สุดในชีวิตที่จะ เรียนนี้เอง เมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วได้เรียนหนังสือจีน เราจึงเรียน ได้ดีกว่าเขาทั้งหมดคือได้ลัดชั้นไปเรื่อยๆ บางชั้นก็เรียนเพียง 2 เดือน บางชั้นก็เรียน 3-4 เดือน แล้วแต่คุณครูที่จะพยายามให้เรา ลัดขึ้นไป เมื่อวิชาเราแข็งกว่าเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดทั้งๆที่ลัดมาแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เราเข้าเรียนเอาตอนอายุ 14 ปีแล้วเพราะโรงเรียน เพิ่งตั้งเมื่อเราอายุ 14 ปี ป.1 เราก็ไม่ได้เรียน คุณครูบอกว่าเราอายุ มากแล้ว เข้าเรียนก็ตอนป.2 เลย แต่ป.2-ป.6 และ ม.1-ม.6 เราใช้ เวลาในการเรียนแค่ 2 ปีกว่าๆ เราก็สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลาย น่าจะเป็นด้วยเราขาดความอบอุ่นโหยหาแต่การเรียนเมื่อ ครั้งอยู่เมืองจีน เห็นจะเป็นเหตุนี้ จึงทำให้เราเรียนได้เร็วเรียนได้ดี และเอาใจใส่อย่างจริงจังในตอนปลายมือ คือเมื่ออายุ 14-16 ปี เมื่อ เราสำเร็จชั้นมัธยมแล้ว เราก็ตั้งมาตรฐานกับเพื่อน 2 คน คืออาเสี่ย ฮ้อกับอาเสี่ยหงีรวม 3 คนว่าไปไหนไปด้วยกัน คือจุดหมายปลาย ทางจะออกไปเรียนวิชานิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ การเมือง ขณะนั้นทางไทยเปรียบเทียบให้เราซึ่งสำเร็จวิชา ม.6 จีน เทียบให้เราเรียนไทยก็ได้ ม.6 เช่นเดียวกัน แต่ธรรมศาสตร์และ การเมืองขณะนั้นรับนักเรียนตั้งแต่ ม.8 เป็นต้นไป ฉะนั้นเราจำเป็น ต้องออกมากวดวิชาเพื่อสอบเทียบ ม.8 ในตอนปลายปี โดยไปเช่า ห้องอยู่ที่โรงแรม 6 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ถนนเยาวราชตรอกโรงหนังหน่ำ แช ซึ่งขณะนี้เปลี่ยนเป็นโรงหนังเท็กซัสและเปลี่ยนเป็นสุกี้เท็กซัส ในที่สุด เราสองคนกับเสี่ยฮ้อเช่าอยู่ที่ชั้น 6 ของโรงแรม 6 ชั้น เพราะเป็นชั้นที่ราคาถูกที่สุด และส่วนมากเขาเช่าให้แก่ผู้หญิงหา กินสมัยก่อนเขาเรียกผู้หญิงสำเพ็ง ค่าเช่าห้องเดือนละ 6 สลึง เรามีชีวิตชีวาและมีความสบายใจมากที่สุดในขณะนั้น ก็ คือช่วงระหว่าง 1 เดือนซึ่งเราจำไม่ได้แล้ว เรากับพี่ชายสองคนกับ น้องอีกสองคนของเรากินในเรืออยู่ในเรือกระทั่งดึกดื่นจึงจะได้กลับไป นอนบ้านอย่างนี้เป็นกิจวัตรตราบใดที่ฝนยังตกอยู่ ถ้าฝนไม่ตกเราก็ จะถูกใช้ให้ไปเลี้ยงควายซึ่งเป็นกิจวัตรเหมือนกัน เมื่อฝนตั้งเค้ามา เราก็จะเบี้ยวไม่ยอมไปเลี้ยงควาย ซึ่งอาแป๊ะอาอึ้มจะบังคับอย่างไร เราก็ดื้อแพ่งไม่ยอมไป ซึ่งจะต้องถูกเขกหัว 2-3 ครั้งเราก็ยินยอม เพราะไปกับพี่ชายเรามันมีความสบายใจและมีชีวิตชีวาที่สุดที่จะออก ไปจับปูจับปลากันและไปรับฮวงแขะกัน ซึ่งการพายเรือในขณะนั้น เราพายไม่เป็น คงได้จากพี่ชายเราทั้งสองคือหย่งคุงหย่งอ๊อสองคน เท่านั้นที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการถ่อพาย สำหรับเราก็จะถูกใช้ สารพัดแล้วแต่เขาจะเรียกใช้ ชีวิตที่สุขสบายของเราในที่นี้เมื่อไป เมืองจีนก็มีช่วงนี้ช่วงเดียวเท่านั้น ต่อไปจะไม่ได้รับอย่างนี้อีกแล้ว จึงขอบันทึกไว้เตือนความจำ


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.