วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน13 "ความสุขสูงสุดที่ เจี่อยะโปว บ้านอาโกว"

ที่เมืองจีนอยู่มาวันหนึ่งเรากำลังเตรียมควายเฒ่าที่จะ ออกไปเลี้ยงที่ทุ่งนาตามปกติที่เคยปฏิบัติมา อาแป๊ะอาอึ้มก็กลับมา บอกเราว่าหย่งจั๊วเอ้ยลื้อไม่ต้องไปวันนี้ให้ลื้อพักผ่อน เราก็ถามว่า อาแป๊ะอาอึ้มมีธุระอะไรเหรอนั่นดูซิใครมา เราเหลียวไปเห็นผู้หญิง แก่ๆหน้าเหี่ยวและใจดียืนอยู่แกก็เรียกเราว่าอาซุงเอ้ย เราก็ถาม อาแป๊ะอาอึ้มว่าใครกันเราไม่รู้จัก อาโกวก็บอกว่า เรียกอาโกวซิอา โกว อาโกวเป็นน้องของอาเตียลื้อรู้ไหม เราก็รับรู้แต่แทนที่แกจะยืน เฉยๆแกกลับมาโอบกอดเรา เราก็ถอยหนีเพราะไม่คุ้นเคยกับแก เลย แต่ดูๆแล้วท่าทางแกใจดีเหลือเกินคล้ายๆมีจิตปฏิพัทธ์เราอยู่ ในใจฉันใดก็ฉันนั้น ความเกรงกลัวของเราก็น้อยลง ในที่สุดเราก็ ยอมให้แกกอด แกกอดเราแล้วก็บอกว่าเห็นหน้าลื้อแล้วก็คิดถึง อาเตียลื้อเหลือเกิน เคยอยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่อาเตียลื้อไปเมือง ไทยแล้วกลับมาพบหน้ากันทีหรือสองทีเท่านั้นตลอดระยะเวลาอัน นานนี้ แกพูดพร้อมกับควักขนมให้เรากิน เราก็รู้สึกว่าแกมีน้ำใจต่อ เราและรู้สึกในความอารีอารอบและความรักของแกที่มีต่อเราซึ่งขณะนั้น เราไม่รู้สึกรักแกเลย แต่เสร็จแล้วความอารีอารอบของแกความ กรุณาปรานีมีน้ำใจของแกทำให้เรารู้สึกว่ารู้จักกับแก 10 ปีก็ไม่ปานแกเอาใจเราอย่างดีที่สุดเลย มีความกรุณาปรานีต่อเราและรักเรา เหมือนคล้ายๆกับเราจะเป็นลูกเป็นหลานของแก แต่ความจริงเราก็ เป็นหลานของแกจริงๆ แต่ขณะนั้นเราไม่รู้สึกว่าจะเป็นหลานแก ต่อเมื่อเห็นกริยาท่าทีของแกเราก็เลยให้ความสนิทสนมด้วย เมื่อ แกปฏิสันถารกับเราคุยกับเราถึงบ้านแก ซึ่งมีทั้งแพะทั้งควายทั้งวัว และมีสวนผลไม้เยอะแยะ คุยให้ฟังถึงว่าพี่ชายเราซึ่งเป็นลูกของแก กำลังหยุดเทอมพอดี(ตั้งเกี้ยะแปลว่าหยุดเทอม) คุยถึงบ้านแก มากๆเข้ามากจนเราตายใจ แกเลยชักชวนว่าจะพาเราไปรู้จักบ้าน แกบ้าง เราก็รู้สึกว่าเออน้องอาเตียเราทำไมดีกับเรายิ่งกว่าอาแป๊ะ อาอึ้มเราหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าเหลือเกิน แต่อาอึ้มเราไม่มีน้ำ ใจไม่มีความอารีอารอบ หรือน้ำใจที่แสดงออกถึงความกรุณาปรานี ต่อเราเลย คงแสดงออกถึงความเคร่งขรึมหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอด ไม่เหมือนอาโกวเราซึ่งยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา แสดงถึงผู้มีอันจะ กินและผู้มีความเบิกบานใจอยู่ตลอด คุยถึงบ้านแกให้ฟังต่างๆ นาๆถึงลูกแก ลูกเหลืออยู่คนเดียวมีผู้หญิงหลายคนก็แก่ไปหมด แล้ว แก่แปลว่าออกเรือนไปแล้ว นานๆถึงจะกลับมาหาพ่อแม่สัก ครั้งหนึ่ง ส่วนอาเตี๋ยเราซึ่งเป็นสามีของอาโกวเราคล้ายๆว่าเสีย ชีวิตไปแล้วหรือว่าไปหากินยังสถานที่อื่นเราก็จำไม่ได้ ที่บ้านจึงมี แม่สามีและตัวแกและลูกชายอีกคนเท่านั้น ซึ่งลูกชายแกคนนี้ก็ หยุดเทอมพอดีแกจึงมีโอกาสที่จะมีเยี่ยมเราได้ ความจริงแกรู้ว่า เรามาเมืองจีนตั้งนานแล้วก็ตั้งใจจะมาเยี่ยม แต่ว่าภาระมีมากยัง มาไม่ได้จนกระทั่งลูกชายแกหยุดเทอมแกจึงให้ลูกชายอยู่กับอาม้าแก แกปลีกตัวมาและในคืนนั้นก็นอนกับเราด้วยคืนหนึ่ง พร้อมกับไป ขออนุญาตอาแป๊ะอาอึ้มเพื่อจะพาเราไปเที่ยวบ้านแกสักสี่ห้าคืน แรกๆอาแป๊ะอาอึ้มเราสั่งเด็ดขาดไม่ยอมให้ไป แกก็พยายามอ้อน วอน อ้อนวอนหนักๆเข้าแกก็ให้เราไปอ้อนวอนอาแป๊ะอาอึ้ม เพื่อ จะได้ไปอยู่กับอาโกวสักสี่ห้าคืน เราจึงไปหาอาแป๊ะอาอึ้มและขอ อนุญาตไปอยู่กับอาโกวสักสี่ห้าคืน ซึ่งหน้าแกก็บูดบึ้งบอกบุญไม่รับ พร้อมกับเขกหัวเราสัก 2-3 ครั้ง พออาโกวเห็นเข้าก็รีบรี่ไปต่อว่า แหมไม่ให้ไปก็ไม่ให้ไปสิ ทำไมต้องเขกหัวตีอาหย่งจั๊วทำไม เราก็ หัวเราะบอกไม่เป็นไรอาแป๊ะเขาเขกหัวอั๊วทุกทีๆเป็นอาจิณเป็น นิจสินเสียแล้ว อั๊วเจ็บเหมือนกันแต่เคยเสียแล้ว อาโกวแกก็หน้า บอกบุญไม่รับ พร้อมกับตำหนิอาแป๊ะอาอึ้มเราว่าไม่สมควรเลย อา เฮียแกก็ไม่อยู่น่าจะให้ความรักความสงสารลูกแก อาเฮียอาซ้อทำ อย่างนี้ก็ไม่ถูก เอาละให้ไปก็จะเอาไป ไม่ให้ไปก็จะเอาไป อั๊วจะต้อง เอาไปสักสี่ห้าวัน อาโกวเราพูดน้ำเสียงอย่างเฉียบขาดเลย พร้อม กับขอโทษอาแป๊ะ อั๊วจำเป็นต้องเอาหลานไปรู้จักกับลูกอั๊วซึ่งหยุด เทอมมาอยู่บ้านพอดี ไม่อย่างนั้นพี่น้องฆ่ากันตายก็ไม่รู้เป็นพี่น้อง กัน อาโกวพูดแบบเฉียบขาดแบบผู้มีอำนาจทางการเงิน หรือผู้มี บุญบารมีอะไรๆแบบนั้น จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ อาแป๊ะ กับอาอึ้มก็เลยยอมอนุญาตให้เราไปกับอาโกวเราจนได้ เราเห็นใน ความกรุณาปรานีของอาโกวเราแล้ว เราก็ตื่นเต้นอยากให้ถึงพรุ่งนี้ เสียไวไวเราจะได้ไปกับอาโกวเรา คืนนั้นอาโกวก็เลยนอนกับเรา บนเตียงซึ่งปกติเรานอนกับอาม้า เมื่ออาม้าเสียแล้วเราก็เลยนอน อยู่คนเดียว นานๆถึงจะมีพี่น้องมานอนร่วมด้วยสักคืนหนึ่ง ซึ่ง เตียงนั้นกว้างมาก คืนวันนั้นเราก็ฝันด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ตามเคยของเด็กที่มีความหวังความสนุก ความสุขที่จะได้รับ ซึ่ง การได้ไปกับอาโกวรู้สึกจะเป็นความหวังอันสูงส่งของเราเสียนี่กระไร ขณะนั้นแม้นว่าจะไปได้เพียงแค่ไม่กีคืน เราก็กระหยิ่มยิ้มย่องเสีย แล้วตามประสาเด็กๆ ซึ่งอยากอะไรแล้วเราก็อยากไปให้ได้ มันจะ เป็นอะไรเราก็ไม่คำนึงถึงแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่ไก่โห่ ไม่กล้า ปลุกอาโกวเราลืมตาอยู่คนเดียว อาโกวคลำถูกเราเข้ารู้ว่าเราตื่นก็ บอกเราว่าฟ้ายังไม่ทันสางเลยตื่นขึ้นมาทำไม เราตอบว่าเราอยาก ไปเจี่อยโปวเลยทำให้นอนไม่หลับ อาโกวว่านอนเร็วๆเหอะฟ้าแจ้ง เมื่อไหร่อาโกวก็จะเรียกเอง เราม่อยหลับไปอีกครั้งหนึ่งลืมตาขึ้นมา ก็ไม่เห็นอาโกวแล้ว สว่างแจ้งโล่งเลยสอบถามได้ว่าอาโกวนานๆที่มาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนสักครั้งหนึ่งจึงได้พยายามไปสังสรรค์ เยี่ยมคนนั้นเยี่ยมคนนี้ ตามเหล่าแก่บรรดาคนที่คุ้นเคยสมัยเป็น เด็กจนกระทั่งโตขึ้นมา หาอาโกวไม่เจอะเต็มไปด้วยความกระวน กระวาย อารามที่อยากไปเที่ยวบ้านอาโกวตามประสาเด็ก กระทั่ง ได้เวลากินอาหารเสร็จแล้วเราก็ไม่วายกระวนกระวาย เพราะอา โกวยังไม่กลับมา ตอนสายๆอาโกวจึงกลับมาพร้อมกับบอกว่า หย่งจั๊วเอ้ยไปกันเหอะ บอกว่าเราไม่มีอะไร ไม่ต้องเก็บอะไร ก็ไป ได้เลย มีแต่เพียงเสื้อผ้าชุดเดียวเท่านั้น ห่อแล้วก็ไปกับอาโกวได้ ทันที ในวันนั้นกว่าจะออกเดินทางได้ก็สายเอาโขอยู่เลย อาโกวมัว แต่ไปเยี่ยมคนนั้นเยี่ยมคนนี้ ครั้งนี้จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอา โกวได้เอารองเท้าฟางซึ่งทำด้วยฟางมาผูกติดเท้าเราด้วย เพื่อให้ เท้าเราเดินไปโดยไม่ต้องร้อนเท้า ถนนหนทางในเมืองจีนนั้นเขา เอาปูนเป็นแผ่นๆรองเป็นระยะๆห่างกันพอที่จะก้าวได้ ฉะนั้นถ้า เดินไปบนปูนจะร้อนมาก คลับคล้ายคลับคลาว่าขามาที่กว่าจะถึง เฮียลี่ของเรานั้น เราจำได้ว่าเราวิ่งบ้างกระโดดบ้าง จนกระทั่ง เหนื่อยแย่ อาเตียก็เลยให้เราขี่คอ ขี่คอไปพักหนึ่งอาเตียก็ทนไม่ ไหว เพราะอาเตียขณะนั้นอายุตั้ง 50 แล้วเราเพียง 9ขวบ แก 40 กว่าถึงจะมามีเรา ครั้งนั้นเมื่อขามาเมืองจีนครั้งแรก เราวิ่งบ้างกระโดดบ้าง ต่อเมื่อตอนเย็นๆจึงเดินได้สบายเพราะแดด อ่อน คราวนี้เรามากับอาโกวรู้สึกว่าไม่ต้องกระโดด ไอ้วิ่งคงต้องวิ่ง บ้างตามประสาเด็กซุกซนวิ่งทีกระโดดที แต่จำได้ว่าในครั้งนี้ไม่ได้ วิ่งกระโดด เพราะความร้อนของปูนซีเมนต์ที่เท้าเลย


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.