วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน14"แข่งเรือมังกร ไซ่เล๊งจุ้ง"

หลังจากเราได้กลับจากเจิ่ยโปวบ้านอาโกวเรามีความสุขประ มาณสัก 10 วันแล้วกลับมาถึงเฮียลี้เราเมื่ออาโกวมาส่ง อาแป๊ะก็ บัญชาให้เราเข้าสู่งานทันที สิ่งที่เราลืมไม่ได้เมื่อมาถึงก็คือจะต้อง ไปเยื่ยมควายเฒ่าซึ่งเรารักมันมากและมันก็รักเรา เราจะเข้าไป กอดและหาหญ้าหาฟางมาให้มันกินอย่างนี้เป็นต้น มันก็จะเอาหัว ดุนเราแสดงความรักใคร่พร้อมกับหลับตาให้เรากอดแสดงให้รู้ว่า มันก็คิดถึงเราเหมือนกัน ซึ่งมันไม่สามารถพูดได้นอกจากมันจะ แสดงกิริยาอาการให้เราเข้าใจมันเท่านั้นเอง พออาโกวมาส่งเรา แล้ว อาโกวแกก็ไปเยี่ยมเพื่อนเยี่ยมคนที่รู้จักชอบพอมา ณ กาล ก่อนตามที่เคยมา แต่เที่ยวนี้มีเวลาไม่มากนักเพราะกว่าจะมาส่ง เราก็เลยเพลไปแล้ว แกก็ต้องเดินทางกลับในวันนั้นไม่ยอมค้างคืน แกจึงไปเยี่ยมเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้ๆกันเท่านั้น ไปเยี่ยมสักประ เดี๋ยวแกก็กลับ เมื่ออาโกวกลับไปแล้ว อาแป๊ะอาอิ๋มได้เรียกเราไป ว่ากล่าวว่าไปอย่างสุขสบายดีแล้วนะ ไม่ต้องห่วงงานทางนี้เลย อา เจ๊อั้งก็บอกว่านี่ลื้อปล่อยให้อั๊วเลี้ยงควาย 2 ตัวอยู่คนเดียว ช่างไม่ คิดถึงบ้างหรือเนี๊ยะ อาแป๊ะอาอิ๋มก็พลอยผสมโรงพลอยว่าไป ทำ ให้เรายิ้มไม่ออกเลย ที่อาการที่โม้ว่าไปบ้านอาโกวมีความสุขอย่าง ไร ก็คอแข็งไปหมดพูดไม่ได้เลย หน้าก็เจื่อนและจ๋อยไปถนัดและ คิดถึงว่าเรานี่ช่างเป็นคนที่น่าอาภัพเสียเหลือเกิน กำลังมีความสุข กลับมาก็มาถูกต่อว่า มิหนำซ้ำอาแป๊ะยังบอกว่าทีหลังใครมาชวน ถ้ายังกล้าไปอีก กลับมาจะเขกหัวเสียให้แย่เลย เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ต้องตามใจแก ในวันนั้นนอกจากเราจะไปดูควายแล้ว อย่างอื่นเรา ก็ไม่ได้ทำอะไรอีกจนกระทั่งรุ่งเช้า อาแป๊ะก็มาปลุกแต่เช้าว่ากิจวัตร ประจำวันของลื้อนะ ลื้อจะต้องนำบุ้งกี๋นำใบพายไปเลี้ยงหมู หมูทั้ง หมดมี 3-4 ตัวแล้วแต่ว่ามันจะไปกินที่ไหน เราต้องคอยไล่ต้อนให้ มันรวมๆกันอยู่อันเป็นกิจวัตร ถ้าหมูขี้เมื่อไหร่ก็จะต้องใช้ใบพาย เขี่ยเข้าบุ้งกี๋เก็บไว้ เมื่อกลับไปแล้วจะได้เอาไปใส่ในส้วม หมาย ความว่าเข้าสู่กิจวัตรประจำวันของเราอย่างเก่า ดังที่ได้กล่าวมา แล้วในบทก่อนๆแล้ว ตอนกลางวันหลังจากกลับมาทานข้าวหรือ ไม่ได้ทานข้าวตอนนี้ก็จำไม่ได้เพียง 2 มื้อหรือ 3มื้อก็จำไม่ค่อยได้ แล้ว ก็ต้องออกไปเลี้ยงควายพร้อมกับเอาเชือกและเคียวไปเพื่อจะ เกี่ยวหญ้าไว้ให้ควายกินตามธรรมดาที่เราเคยปฏิบัติมา ไปกับอา เจ๊อั้ง 2 คน เจอกันแล้วเขาก็บอกว่าลื้อคราวนี้ลื้อจะต้องดูแลให้อั๊ว มั่ง ปล่อยให้อั๊วสบายมั่ง เราก็บอกว่าอาเจ๊ไอ้ลูกควายอั๊วบังคับมัน ไม่ได้นะ มันเกเรจะตายเดี๋ยวมันก็ขวิดอั๊วแย่แล้ว เขาก็บอกว่าไม่รู้ ลื้อจะต้องดูแลให้อั๊วสบายบ้าง เราก็เถียงไม่ขึ้นจำเป็นจำใจจะต้อง ไปดูแลให้ คือหมายความว่าต้องเลี้ยง 2 ตัวทดแทนเท่าที่แกเลี้ยง ให้เราตอนเราไปกับอาโกว ทั้งขาไปและขากลับตามกิจวัตรธรรม ดา เราก็แวะโรงเรียนสักหน่อย ขากลับแวะนานหน่อย ซึ่งอาเจ๊อั้งก็ ต้องมาเร่งเร้าเราให้เรากลับให้จงได้เราก็ดื้อ เวลาอื่นแกว่าเรา เรา ไม่เคยดื้อเลย แต่กับการที่มาดูเขาเรียนหนังสือตอนขากลับนี่ เรา พยายามดื้ออยู่ตลอด เพราะเหตุว่าเราดื่มด่ำแห่งรสการเรียน หนังสือเสียเหลือเกิน พร้อมกับสงสารตัวเองที่อับโชควาสนา ไม่มี วาสนาได้เรียน บางครั้งถึงกับสะอื้นน้อยๆด้วยความสงสารตัวเอง อาเจ๊อั้งก็พยายามเร่งให้เรากลับให้ได้ เมื่อกลับมาถึงแกก็ฟ้องอา แป๊ะอย่างเคย เราก็ถูกเรียกไปเขกหัวแล้วว่าน้ำหน้าอย่างมึงมันไม่ มีวาสนาได้เรียนหรอก แล้วเราก็หน้าจ๋อยกลับมาและนำควายไป ผูกตามเคยและกอดมันก่อนจากเป็นกิจวัตรของเรา ซึ่งมันรักเรา เราก็รักมัน ต่อมาอีกกี่วันก็จำไม่ได้ ได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาคุยกันว่าจะ ถึงเวลาแข่งเรือมังกรแล้ว เราได้ยินเราก็หูผึ่งทันทีพร้อมกับซักถาม ว่าเมื่อไหร่ เราอยากดูเขาแข่งเรือกันเพราะว่ามันสนุกเราก็ไม่ต้อง ไปเลี้ยงควายเป็นความสุขของเราชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากกิจ วัตรประจำวัน ครั้นได้เวลาพวกเราเด็กๆพากันตื่นแต่เช้า รีบเอาหมู ไปเลี้ยงแต่เช้าเลย แล้วมันจะกินอิ่มไม่อิ่มพวกเราเด็กๆไม่คำนึงถึง แล้ว เมื่อเกือบๆจะได้เวลาที่เขาจะแข่งกัน เราก็รีบไล่หมูกลับบ้าน พร้อมกับเอาขี้ที่มันขี้ไปใส่ในส้วมเป็นกิจวัตรเราตอนหนึ่ง แต่สิ่งที่ เราลืมไม่ได้ก็คือจะต้องไปหาควายเฒ่าของเราพร้อมกับไปเอา หญ้าที่เราเก็บเกี่ยวมาไว้เพื่อเอาไปให้มันกิน ข้อนี้เรารักมัน เราก็ลืม ไม่ได้ เราจึงมาชวนพวกพี่สาวไป"ซือตึ้ง" ซึ่งเป็นสมบัติส่วนรวมของ เฮียลี่เรา ซึ่งตั้งอยู่ที่ "เจิ่ยเคย"(หัวน้ำ,หัวคลอง) ได้กล่าวแล้วว่า คลองหรือแม่น้ำ ความจริงไม่ใช่แม่น้ำเหมือนบ้านอาโกวเราที่ได้ เคยไปมา ที่นั่นเป็นแม่น้ำจริงๆเพราะน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา แต่ที่ "เจิ่ยเคย"มันไม่ใช่แม่น้ำ คล้ายๆเป็นคลองซึ่งเขาสูบน้ำเอาจาก แม่น้ำเข้ามาในคลอง เพื่อหล่อเลี้ยงให้น้ำมันเต็มอยู่ตลอดเวลาเท่า นั้นเอง เมื่อชาวนาขาดน้ำเขาจะได้สูบน้ำจากแม่น้ำ หรือในคลองให้ ตามคลองเล็กคลองน้อย คลองซอยเข้าไปสู่นาอีกต่อหนึ่งข้าวจึง เก็บเกี่ยวได้ 2 ครั้ง แต่ไม่มีอาการที่จะขาดน้ำ ขาดอะไรเลย น้ำใน แม่น้ำก็คงยังเต็มปริ่มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งข้อนี้ชลประทานของเมืองจีน เขาทำได้ดีแต่ที่อื่นไม่ทราบรู้สึกว่ามีบางปีที่ได้ข่าวว่าแห้งแล้ง เหมือนกัน แต่ที่บ้านเราไม่มีเลย สิ่งที่เป็นอุทกภัยก็คือเขื่อนพัง ปีไหนน้ำมากมากจนกระทั่งล้นเขื่อน เขื่อนก็พังลงทีซึ่ง ประมาณ 10 ปีหรือ 20 ปีก็จะมีสักครั้งนี่ได้ยินแต่พวกผู้ใหญ่เขาพูดกันอย่าง นี้ ซึ่งขณะนั้นเราก็ไม่รู้ เราไม่ได้ใส่ใจจำ มารู้เอาตอนหลังๆ เมื่อโตขึ้น มาแล้ว เมื่อเราเอาหมูเข้าเล้าและไม่ลืมไปให้หญ้าควายเฒ่าของเรา แล้ว เราก็ไปชวนคนนั้นคนนี้พากันไป"เจิ่ยเคย"ที่ที่เขาจะแข่งเรือ กัน ไปถึงก็เห็นคนเยอะแยะหมดเลย ส่วนเรือนั่นก็มีจอดอยู่ไม่กี่ลำ ตอนแข่งจริงๆรู้สึกว่าจะมีแข่งกัน 10 กว่า 20 ลำเท่านั้นเอง การ แข่งเรือนี้ไม่ใช่แข่งแต่เฉพาะเฮียลี้เรา แต่เฮียลี้ที่ใกล้เคียงกัน จะพา กันหัดฝีพายและนำมาแข่งกับเฮียลี้เรา คือเป็นการแข่งขันกัน ระหว่างหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นคนที่เจิ่ยเคยจึงเต็มไปหมด จนไม่รู้มาจากหมู่บ้านไหนต่อหมู่บ้านไหน เด็กๆเราก็พากันวิ่งเล่น เกี๊ยวก๊าวไปเลย เด็กที่มาจากเฮียลี้อื่นเยอะแยะมากหน้าหลายตา จนไม่รู้ใครเป็นใคร พวกเราที่ไปกันเราก็เล่นเฉพาะส่วนเราที่เขามา เขาก็เล่นเฉพาะส่วนเขา แต่ก็อดกระทบกระทั่งกันไม่ได้ จึงเกิดการ ทะเลาะวิวาทกันขึ้นมา เราเด็กเล็กไม่กล้าไปทะเลาะกับเขากลัว เด็กใหญ่และกลัวเจ็บตัว แต่ว่าเด็กใหญ่ที่เฮียลี้เรา เขาชอบไป ทะเลาะกันแสดงอาการเป็นเจ้าถิ่น ซึ่งขณะนั้นเรื่องความหยิ่งผยอง ในศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเรา ไม่รู้ว่ามันเหือดหายไปหมดเลย เราถูกข่ม เสียจนศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ชายที่เคยมีเมื่ออยู่บางมูลนาก และเคยต่อยกับเขา มาเขียนหัวกันใครท้าไม่ได้ต้องรักษาศักดิ์ศรี ของความเป็นลูกผู้ชาย แต่เราเมื่อไปเมืองจีนแล้ว เราไม่มีศักดิ์ศรี อันนี้อยู่เลย หัวใจเราถดถอยจนไม่มีอะไรเหลือหรอ เรามีแต่หน้านิ่ว คิ้วขมวดมีแต่ความชอกช้ำระกำใจเท่านั้นเอง น้ำตาเป็นที่พึ่งของ เราอยู่ตลอดมา เราไม่กล้าสู้รบปรบมือใคร เพราะฉะนั้นเมื่อเขาเกิด เรื่องขึ้น เราก็พยายามไปเสียให้ไกลหนีไป พร้อมกับพาเพื่อนๆเรา เด็กๆเล็กๆด้วยกันไปเล่นกันตามประสา ไม่ไปทะเลาะ กับเขาแม้ แต่น้อย ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นลูกผู้ชาย ศักดิ์ศรีแห่งความหยิ่ง ผยองว่าเรานี่ก็คือหนึ่งในสยามเหมือนกัน ซึ่งมีอยู่ที่เมืองไทย ไม่มี เลยแม้นแต่นิดเดียว เรากลายเป็นคนเจ้าทุกข์เป็นคนว่านอนสอน ง่าย ใครจะว่าอะไรเราก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่กล้าเถียง เราจะดื้ออยู่กับ อาเจ๊ที่ไปอยู่ที่โรงเรียน ให้เรากลับเราไม่ยอมกลับ เราดื้ออยู่แค่ เนี๊ยะ แม้นแต่จะเขกหัวเรา เราก็ยอมเจ็บ โอ้หนอ! ชีวิตของเราช่างตกต่ำถึงเพียงนี้ คิดแล้วให้เศร้าใจเหลือเกิน การแข่งในวันนั้น เป็นที่สนุกสนานฮือฮาเป็นอันมาก เราก็มีความสนุกสนานเพราะ เราไม่รู้ว่าเป็นเรือใครต่อเรือใคร เราเชียร์ทุกลำที่มันชนะ มันชนะ เราก็ดีใจไปกับเขาด้วย ซึ่งเด็กๆเล็กๆอย่างเราไม่มีความรู้สึกอันนี้ เลย กำลังใจเราตกต่ำที่สุดแล้ว เฮียลี่เราจะแพ้ชนะเราไม่ได้สนเลย เมื่อใกล้ค่ำขมุกขมัวลง การแข่งก็สิ้นสุดปรากฏผลในวันนั้นว่า เฮียลี่เราแพ้อย่างหลุดลุ่ยเลย ไม่มีชนะแม้นแต่เที่ยวเดียว พี่ชายเรา มารับเรากลับบ้าน มาถึงก็บ่นมาตลอดทางหน้าเครียดพร้อมกับ ผรุสวาทว่าพยายามจะเป็นคนกับเขาด้วยแรงสักนิดก็ไม่มี ยังจะมา แข่งกับเขาอีกพูดอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะหมดเต็มไปด้วยอารมณ์ เพราะว่าเฮียลี่เราแพ้เขาอย่างหลุดลุ่ยหมด จึงหน้านิ่วคิ้วขมวด ทุกๆคนจนเราพวกเด็กๆซึ่งเมื่อได้ฟ้งแล้วรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน ความสนุกสนานเฮฮาที่เรามีอยู่แต่เดิมก็รู้สึกว่าจะหดหายไปเสีย กว่าครึ่งเสียแล้ว เมื่อมาได้ยินพี่ชายเราและเด็กหนุ่มๆในเฮียลี่เรา ด่ากันออกขรมไปหมด ในวันนั้นกลับมาถึงบ้านแล้วทุกคนก็รู้สึกไม่ ค่อยสบายใจ อาแป๊ะอาซี้ซิ้มแม้จะไม่ได้ไป ได้ข่าวว่าเฮียลี่เราแพ้ อย่างหมดรูปก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเด็กหนุ่มๆสาวๆก็ด่ากันให้ขรม ไปหมด ซ้อมก็ไม่ซ้อมมากแล้วยังไปแข่งกับเขาอีกให้เสีย รวม ความแล้วในวันนั้นการแข่งเรือที่เด็กๆรอคอยกันมานาน ทั้งๆที่ได้ รับความสุขสนุกสนานในวันแข่ง แต่เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ก็ต่างคน ต่างหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด หมดความสุข หมดความสนุกเลย จึง เป็นอันว่าวันนั้นเราแพ้เขาอย่างหมดรูป ขอบันทึกไว้เตือนความจำ


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.