วิบากกรรมแห่งการไปเมืองจีน

ถอดเทปจากบันทึกของ ประดิษฐ์ ดำรงค์วานิช ขณะอายุ 77 ปี

TN_pradit01s.JPG (3620 bytes)

ตอน15 "ความสนุกเพลิดเพลินที่อำฮั่งเฮียลี่"

จะเป็นวัน เดือน ปีใด เราก็สุดที่จะจำได้ขณะที่เราเพลิด เพลินอยู่กับการเลี้ยงควายเฒ่า และเล่นตามประสาเด็กๆของเรา อย่างเพลิดเพลินนั้น พี่ชายเรามาบอกว่าให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้พร้อม กับรับอาสาจะเลี้ยงควายเฒ่าแทนเรา โดยให้อาเจ๊อั้งเป็นคนเลี้ยง ควายเฒ่าของเราแทน เราก็ให้สงสัยเป็นกำลังอยากรู้ว่าที่บ้านมี เรื่องอะไรเกิดขึ้น เพราะปกติไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญของเรา ถึงขนาดที่จะต้องมาตามกลับบ้านกลางคันอย่างนั้น เราจึงถามพี่ ชายเฮียหย่งอ๊อว่ามีธุระอะไร เขาก็บอกว่ามีฮวงแขะมา แปลว่าคน ที่มาจากเมืองไทย ใจเราก็ชุ่มชื้นขึ้นมาสงสัยว่าจะเป็นอาเตียของ เรามารับกลับเมืองไทย แต่เป็นไปไม่ได้อาเตียมาพี่ชายเราต้อง บอกว่าอาเตียมาให้รีบไปหาอาเตียเรา จะได้ดีใจแต่นี่ไม่ใช่หรือจะ เป็นด้วยอาเตียให้คนมารับเรากลับเมืองไทย เราก็แอบดีใจมาเป็น กองที่จะได้กลับเมืองไทยเพื่อจะไปพบกับยายจ๋า แม่จ๋า ซึ่งรักเรา มากที่สุดที่เมืองไทยของเรา พยายามถามเท่าไหร่พี่ชายเราก็ไม่ ยอมบอกและแกก็บอกแกไม่รู้จักเป็นใครก็ไม่รู้ เราเดินกลับพลาง ใจหนึ่งก็แอบยินดี อีกใจหนึ่งก็แอบสงสัยเป็นกำลังว่าจะมีเรื่องอะไร หนอมาจากเมืองไทย หรือคุณแม่คุณยายเราทนคิดถึงเราไม่ได้ จ้างให้คนมารับไป ก็เป็นไปไม่ได้เพราะคุณแม่คุณยายเราพูดภาษา จีนได้นิดหน่อยเท่านั้น และไม่รู้ว่าเมืองจีนของอาเตียเราอยู่ที่ไหน เพราะแกไม่ได้ใส่ใจจดจำ ไม่ได้รุกเร้าถามอาเตียหรือเราแม้แต่นิด เดียวเลย ระหว่างทางเดินกลับจิตใจเราไม่เป็นปกติใจก็ไม่ค่อยดี ให้ ห่วงและคิดไปต่างๆนาๆ พี่ชายเราเดินเร็วเราก็พยายามเร่งรีบฝี เท้าให้ทันให้ได้ เพราะใจร้อนอยากจะรู้ว่ามีใครมาจากเมืองไทย หรือไงครั้นถึงบ้านแล้วก็ได้พบอาแป๊ะอาอึ้มรอเราอยู่ พร้อมกับเร่ง ให้เราไปพบกับคนคนหนึ่งที่มาจากเมืองไทยที่เรียกว่าฮวงแขะ ซึ่ง กำลังแจกของกันอยู่ในห้องนอนที่เรานอนอยู่ อารามที่อยากรู้เรื่อง เร็วๆก็ถามอาแป๊ะว่าเขามาทำไมเกี่ยวกับอั้วอย่างไร อาแป๊ะด่าขรม เลยบอกว่าเห็นหน้าก็รู้เองไม่ต้องมาถาม เราก็หน้าม่อย จำเป็นจำ ใจต้องเดินตามแกไป ครั้นไปถึงเห็นอานึ้งแกกำลังจัดแจกของให้ แก่พวกเด็กๆอยู่ เราก็จำอานึ้งไม่ได้ เพราะตั้งแต่แต่งงานกับพี่สาว เรา เราเป็นคนรดน้ำเจ้าบ่าวและได้เงินค่ารดน้ำเป็นจำนวนเงิน 2 เหรียญบาท เราดีใจเหลือเกินในชีวิตไม่เคยได้เงินมากมายอย่างนี้ พยายามเก็บไว้อย่างดียิ่ง แต่ว่ากลัวจะหายก็ต้องนำกลับไปฝาก ยายเราเข้าไว้ ในชีวิตน้อยๆของเราได้เงิน2 เหรียญบาทเท่านั้น เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สุดสำหรับชีวิตเราเลยทีเดียว แต่เราก็ลืมไป แล้วและพบหน้าอานึ้งของเราเพียงไม่กี่ครั้งเลย เราอยู่คนละบ้าน กัน อานึ้งของเราก็ไม่เคยที่จะสนใจในตัวเราเลยพบหน้าแก แก เรียกบ้าง ไม่ได้สนใจเรียกไปตามธรรมเนียมนั้นเอง ความรู้สึกเรา ก็รู้สึกว่าอานึ้งไม่ค่อยสนใจในตัวเราเท่าไหร่เลย และเราก็เล่นตาม ภาษาเด็กของเรา ไม่ได้ให้ความสนใจกับอานึ้งของเราอีกต่อไป เช่นเดียวกันด้วยเหตุนี้จึงจำหน้าค่าตาแกไม่ได้ เมื่อเห็นเรามาอา นึ้งก็เรียกเราว่าอาหย่งจั้วเอ้ยๆมาหาอานึ้งหน่อย นี่ขนมเยอะแยะ เลย เราก็ดีใจที่จะได้กินขนมจึงได้ปราดเข้าไปหาแก แกส่งขนมให้ก็ กินอย่างตายอดตายอยาก เพราะเหตุว่าอยู่เมืองจีนนั้นเราอดอยาก เสียเหลือเกิน กินขนมพลางก็มองดูหน้าแกแต่ก็จำไม่ได้ แกก็บอก อานึ้งไงเล่าจำไม่ได้เหรอ อานึ้งที่แต่งงานกับพี่สาว เรานึกออกว่า เป็นคนที่ให้เงินเรา 2 บาท เราก็ถึงกับน้ำตาไหลคลอเบ้าทันที เหมือนกับเทวดามาโปรดเราจึงถามแกว่าอาเตียให้มารับอั้วกลับไป ใช่ไหม เราถามย้ำแล้วย้ำอีกแกก็ยิ้มแล้วตอบว่า อ้อ!อยากกลับไป เมืองไทยแย่แล้วซิ ยายกับแม่ลื้อสั่งแล้วสั่งอีกให้มาเยี่ยมลื้อมา ดูลื้อว่าทุกข์สุขเป็นยังไง อั้วก็เลยต้องมาเยี่ยมลื้อ ความจริงอาเตีย ไม่ได้ให้มารับกลับไปเลย แต่แม่ลื้อกับยายลื้อให้มาดูให้ได้ ว่าทุกข์ สุขเป็นอย่างไร อั้วมาเที่ยวนี้เพื่อมาเยี่ยมแม่ เยี่ยมน้องๆกันทั้งหมด ที่บ้านอั้ว อั้วก็เลยคิดว่าจะมารับลื้อไปเที่ยวบ้านอั้ว ให้รู้จักกับน้องๆ ของอั้วและอาเจ๊ลื้ออีกคนด้วย เราก็ผิดหวังอย่างแรงแทบจะร้องไห้ โฮเสียออกมาให้ได้เชียว แต่ก็พยายามระงับไว้ เราเป็นลูกผู้ชาย น้ำตาจะต้องไม่ออกจากนอกเบ้า แม้นจะพยายามปลอบใจตัวเองก็ แล้ว เข้มแข็งก็แล้ว ก็ยังไม่วายน้ำตาออกมาคลอเบ้า อานี้งเห็น อาการเรา ก็รู้สึกสงสารอย่างจับใจ แต่ว่าคนจีนก็คงเป็นคนจีนอยู่ นั่นเอง อานี้งเราเป็นคนจีนก็หวังว่าจะให้ลูกเต้ามาสืบเผ่าพันธุ์อยู่ เมืองจีน ยังรักเมืองจีนอยู่เรื่อย แกก็พยายามทำใจแข็งพูดกับเรา อย่างดีๆว่าอาตี๋เอ้ย ลื้ออย่าเสียใจไปเลยเตี่ยลื้ออยากให้มาเรียน หนังสือที่นี่ก็เรียนเถอะ จะกลับไปเมืองไทยยายกับแม่ลื้อก็สบายดี ไม่มีอะไร ไว้ให้ลื้อเรียนหนังสือสำเร็จเสียเมื่อไหร่จึงค่อยกลับไป เมืองไทย อานี้งจะพาลื้อไปเที่ยวบ้านอานึ้งไปให้สนุกเลย แล้วไปรู้ จักอาเจ๊เมืองจีนของลื้ออีกคนหนึ่งไปรู้จักกับอาม้าและน้องๆของอานี้ง จะพาลื้อเที่ยวอย่างสนุกที่สุดเลย อานี้งแกก็พยายามพูดถึงความ สนุกที่บ้านของแกว่ามีต้นอั่งไส มีสวน มีลำคลอง เวลานี้แชไสกำลัง ออกลูกเลย พยายามอย่าคิดถึงเมืองไทยมากนักเลยให้เรียนสำเร็จ เมื่อไหร่ก็จะได้กลับไป พยายามพูดปลอบใจเราต่างๆนานาอานี้ง เราได้ชื่อว่าเป็นผู้มีการศึกษามากเมื่ออยู่บางมูลนากนี่เป็นผู้ที่ชาว บางมูลนากนับถือมากเหลือเกินในภูมิรู้ของแก ในความใจเย็นของ แก พูดจาอย่างนี้เป็นหลักฐาน พูดค่อยๆพูดเต็มไปด้วยหลักการ ของความรู้หนังสือ ซึ่งคนจีนในเมืองไทยส่วนมากการศึกษาต่ำ นี่ การศึกษาแกสูงมาก เพราะฉะนั้นคนในบางมูลนากจึงนิยมและนับ ถือแกมากในภูมิปัญญาของแก ฉะนั้นแกจึงมีวาทะศิลป์ที่จะกล่อม ให้เราเคลิบเคลิ้มไปได้จนกระทั่งเราตัดใจตามคำพูดของแก เพื่อจะ ไปเที่ยวบ้านแกตามที่แกชักชวน พร้อมกับแกก็ซักซ้อมให้เราว่า แกจะไปขออนุญาตอาแป๊ะเรา เพื่อจะขอเราไปเที่ยวบ้านแก เราจะ ต้องรับปากรับคำว่าอยากไปเที่ยวบ้านอานึ้ง มิฉะนั้นประเดี๋ยวจะ ไม่ได้ไปด้วยวาทะศิลป์อันแสนคมของแก แกก็พูดเกลี้ยกล่อมให้ อาแป๊ะเรายินยอมให้ไป ทั้งๆที่เราเพิ่งกลับมาจากบ้านอาโกวเรา เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งอาแป๊ะเราเสียแรงงานไปเนื่องจากเรามากแต่ว่า ก็ทนในวาทะศิลป์ของอานึ้งเราไม่ได้ ก็ยินยอมให้เราไปแต่ก็ไม่วาย กำชับว่าอย่าให้หลายวันนัก อานึ้งเราก็บอกไม่หลายวันหรอกก่อน อั๊วจะกลับเมืองไทย อั๊วต้องนำมาส่งลื้อจนได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงไป เที่ยวบ้านอานึ้งอย่างราบรื่นในวันนั้นเอง สำหรับอาโกวเรามาก็มา นอนค้างกับเราคืนหนึ่ง เช้าจึงเดินทางกลับไปแต่อานึ้งเรามานี่ มา ถึงตอนบ่ายก็พาเรากลับไป จำได้ว่าเดินทางก็เหมือนๆกันทุกๆ แห่งที่เราเคยไปมา คือมีปูนหล่อเป็นก้อนๆทิ้งช่วงเป็นระยะๆให้พอ ก้าวเดินได้ อานึ้งได้เตรียมรองเท้ามาให้เราใส่ไปโดยไม่ต้องร้อน เท้าอีกต่อไป การเดินทางก็ผ่านไปหลายหมู่บ้านแล้วก็ถึงบ้านอานึ้ง อานึ้งบอกว่าวันนี้มันเย็นมากแล้ว ไม่อย่างนั้นจะพาไปเที่ยวตลาด ไว้ตอนขากลับจะแวะมาซักหน่อย ถามเราว่าเคยมาหรือเปล่า เราก็ บอกว่าไม่เคยมา แต่อาแป๊ะเคยมาเรื่อยๆแต่ตัวเราไม่เคยมา เมื่อ ถึงสามแยกหรือสี่แยก แกก็ต้องบอกว่าทางนั้นไปไหนทางนี้ไปไหน ซึ่งมันมากมายจนเราจำไม่ได้ บ้านอานึ้งเป็น 3-4 หลังติดต่อกันเลย ซึ่งอานึ้งได้พาเราไปหาแม่แกซึ่งเราต้องเรียกว่าอาม้าคือต้องเคารพ ผู้ใหญ่ก่อน แล้วจึงพามาหาอาเจ๊เมืองจีนของเรา เมียหลวงเป็นเมีย เมืองจีน พี่สาวเราเป็นเมียเมืองไทย แต่อาเจ๊เมืองจีนเป็นเมียดั้งเดิม ซึ่งรู้สึกว่าแกเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนและบริสุทธิ์ที่สุด ไปถึงแล้วรู้ สึกว่าแกจะต้อนรับเราด้วยความเต็มใจเลย ความเป็นกันเองและให้ ความรักเราตั้งแต่เห็นหน้า ด้วยความบริสุทธิ์ใจก่อความอบอุ่นให้ แก่เราในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง คืนนั้นเราไม่ได้วิสาสะกับใครมากนัก นอกจากคนในบ้านเท่านั้นเอง ในบ้านนั้นมีอานึ้งเราเป็นคนโตชื่อ ชุงฮะ คนรองชื่อชุงเฮี้ยง คนที่สี่ชื่อชุงหวย คนที่ห้าชื่อชุงกก คนที่ หกชื่อชุงเต้ง ชุงเฮี้ยงกับชุงหวยอยู่เมืองไทย ส่วนชุงกกกับชุงเต้ง อยู่เมืองจีน เราเดินทางมาไกลเลยหลับไปแต่หัวค่ำด้วยความอ่อน เพลียตื่นเช้าขึ้นมา อานี้งได้ให้ชุงเต้งซึ่งเป็นน้องคนเล็กพาเราไป เที่ยวในที่ต่างๆ ถ้าห่างจากบ้านไปหน่อยจะต้องพายเรือไป แล้วก็ จะมีสวนของหมู่บ้านมีผลไม้เต็มไปหมด แต่จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง เท่าที่ จำได้คือมีแชไส ซึ่งอาเจ็กชุงเต้งได้พาเราไปจับนกกัน ไปหา รังนกกันวิ่งเล่นกันในสวน สวนมีต้นไม้ต้นโตๆสูงท่วมหัวทั้งนั้นเลย ในวันนั้นไม่ได้คิดอะไรเพราะเอาข้าวไปกิน วันต่อมากินข้าวแล้วอา เจ็กซุงเต้งพาเราปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บแชไส(ลูกพลับดิบๆ)ต่างกับที่เรา เข้าใจ คือเราเข้าใจว่าแชไสเมื่อดิบๆกินกรอบ เมื่อสุกๆ แล้วจะเป็น อั่งไสกินนิ่มเหมือนกับมะม่วงเรา แชไสก็คือลูกพลับที่เมืองไทยเรา มี แต่ลูกพลับที่ตากแห้งซึ่งเคยกินกับน้ำเต้าหู้ แชไสเมื่อเด็ดมาแล้ว เรากัดลงไปคำฝาดมากคือกินไม่ได้ แกก็บอกว่าเด็ดมาแล้วต้องไป แช่น้ำสัก 3-4 คืน จึงได้พากันเด็ดสัก 2-3 ลูกแล้วทำเครื่องหมาย เข้า ไว้แช่ไว้ในน้ำ ได้กล่าวไว้ว่าเราพายเรือไปกัน ไปแล้วก็ตกปลา บ้าง อะไรบ้างซึ่งปลาในเมืองจีนนั้นหายากเหลือเกินตกแล้วตกอีก จะ ติดเบ็ดสักนิดหนึ่งก็รู้สึกยากเราไปตั้ง 2-3 วันไม่ได้ปลาสักตัว เลย เราก็นำไปทำแชไสทั้ง 3 ลูกไปฝังไว้ แล้วจึงทำเครื่องหมายไว้ บนต้นไม้ ทำเครื่องหมายไว้ที่ริมดินริมหริ่งซึ่งมันห่างกันแค่เมตร เดียว น้ำกับหริ่งห่างกันไม่ถึงเมตรดี เราก็พากันไปยิงนก ซึ่งนกก็ หายิงได้ ยากเหลือเกินนานๆจะเจอะสักตัวหนึ่ง แม้นกระนั้นก็ดี เรา ก็ซุกซนไปอย่างมีชีวิตชีวาเที่ยวไปเรื่อยๆ อาเจ็กชุงเต้งเอาข้าวไป กินด้วย ไปถึงกลางวันก็เลยมากินข้าวกัน แล้วก็เที่ยวต่อจนกระทั่ง เย็นถึงจะกลับบ้านทำอย่างนี้ทุกวัน พอวันที่ 2 ที่ 3 เราก็อดรนทน ไม่ได้ จัดแจงบอกอาเจ็กชุงเต้งว่าลองงมมาดูซิว่าแชไสมันจะสุกกิน ได้ หรือยัง อาเจ็กชุงเต้งก็เห็นด้วย แต่บอกว่ามันยังไม่สุกนะยังกิน ไม่ได้ต้องแช่น้ำไว้สัก 5 วันหรือ 6 วัน เราแค่ 3 วันแค่นี้จัดแจงเอามา กินก็พอกินได้ แต่มันยังมีรสฝาดอยู่อีกหน่อยจึงกินได้ครึ่งลูกแล้วก็ เอาฝังไว้อย่างเก่าอีก วันที่ 3นี่อาเจ็กชุงเต้งได้พาเราไปหากระจับที่ กลางน้ำก็เห็นมีแต่ดอกกระจับฝักเล็กๆอยู่บนน้ำส่วนที่เอามากินได้ แกบอกว่าจะต้องงมเข้าไปเราก็ไปดูกัน ด้วยความสุขสนุกและซุก ซนตามประสาเด็กๆ เขาผูกให้เป็นแพใหญ่เลยและข้างๆแพก็มี ดอกบัวหลวงอยู่อีก ไปก็ไม่กล้าเด็ดของเขา แต่กระจับเนี่ยซิไม่รู้ ของใคร จะเอามาเยอะก็เกรงใจเจ้าของเขา แต่กระจับก็ต้องงม เพราะอยู่ใต้น้ำ อาเจ็กชุงเต้งจึงงมขึ้นมาดูมีแต่ฝักเขียวๆยังไม่ดำ แกบอกว่าเอาไปก็ใช้ไม่ได้ต้องทิ้งไว้ใต้น้ำ วันที่ 5 ไปเที่ยวกัน หลัง จากเที่ยวเสร็จท้องก็รู้สึกหิว จึงบอกอาเจ็กชุงเต้งไปงมแชไสที่ฝังไว้ อีก 2 ลูกครึ่ง เอาขึ้นมาดูซิเป็นไง ก็งมเอาครึ่งลูกขึ้นมาก่อนรู้สึกว่า หวานอร่อยดีจังเลย ทั้งหวานทั้งกรอบกินหมดแล้ว จึงได้กัดกินลูก ที่สองอีก กินกันอย่างเอร็ดอร่อยเลย แต่ก็ไม่วายเหลือกลับไปบ้าน สักลูกหนึ่ง กลับบ้านไปเราคุยโขมงโฉงเฉงเลยว่าแชไสอันนี้อร่อย เหลือเกิน เกิดมาไม่เคยกิน อาเจ๊เมืองจีนเราก็บอกว่า จะกินเอามา อั๊วจะปอกให้ จัดแจงเอาไปปอกเอามา เราก็เอาไปให้อาม้าลองกิน ดู อาม้าชมเราเลยว่ามีน้ำใจดี เราก็รู้สึกภาคภูมิใจดีใจในคำชมของ อาม้า วันที่ 6 เจ็กชุงเต้งก็พาเราไปเก็บแชไสอีก เรารู้สึกติดใจเหลือ เกินว่ามันอร่อยดี ไปคราวนี้เด็ดเอาเสีย 5-6ลูกเลย เอาฝังไว้ในน้ำ แต่กลัวเขาจะรู้ว่าฝังไว้ตรงไหนก็ย้ายที่ใหม่ แล้วก็ทำเครื่องหมาย เข้าไว้อีก ทำเครื่องหมายพอรู้กัน 2 คน แต่อนิจจังอนิจจาฝังไว้ คราวนี้ เราไม่ได้อยู่กินแล้วเพราะวันที่ 7 อานึ้งก็พาเรามาส่งแต่ใน วันที่ 6 นั่นเองอาเจ็กชุงเต้งก็ได้พาเราไปงมกระจับอีก คราวนี้ กระจับที่เคยเขียวๆอยู่นั่นงมขึ้นมาคราวนี้ดำเลย ก็พยายามงมกัน อีก ไอ้ที่เขียวๆก็ทิ้งไว้อย่างเก่า ไอ้ที่ดำๆก็จัดแจงเอากลับมาบ้าน อาเจ๊เมืองจีนเราก็จัดแจงเอามาต้มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่เราก็ ยังไม่ลืมนำไปให้อาม้าแม่ของอานี้งเรากิน แกก็ชมเราเป็นการใหญ่ ว่ามีน้ำจิตน้ำใจดี ซึ่งเราก็ภาคภูมิใจในคำชมของแกเป็นอย่างมาก ครั้นวันที่ 7 อานี้งเราจะกลับเมืองไทย จึงให้เราตื่นแต่เช้ามืด เพื่อให้เราไปเที่ยวเตียมเกี๊ยเท้าสักพักหนึ่ง ตลาดศูนย์รวมของ ร้านค้าทั้งหมดซึ่งใหญ่โตมโหฬารเราไปก็ตะลึงมาก เราติดใจมาก เลยแต่ว่าเที่ยวได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง อานึ้งก็พาเราออกมาเพื่อจะ ได้มาส่งเราที่บ้าน แกจะได้มีเวลาไปซัวเถาอีก ไปนอนค้างซัวเถา คืนหนึ่ง เพื่อจะซื้อตั๋วเรือแล้วก็กลับเมืองไทยตามทางของแก สำหรับเราก็ไปเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่และเลี้ยงควายเฒ่าของเราต่อไป ตามกิจวัตรประจำ

หมายเหต ุคุณพ่อประดิษฐ์เดินทางไปเมืองจีนเมื่ออายุ9ปี อยู่เมืองจีนได้เกือบปีก็ล้มป่วยเป็นไข้ เพ้อและชักอยู่เป็นอาทิตย์ ไม่มีใครช่วยจัดการพาไปหาหมอ มีคนส่งข่าวไปบอกอาก๋ง(อาเตี่ย คุณพ่อ) อาก๋งก็รีบเดินทางไปดูและรีบนำไปรักษาจนดีขึ้นแล้ว จึงพา กลับเมืองไทยตอนอายุ 10 ปี คุณพ่อจืงได้กลับมาอยู่เมืองไทย จนถึงปัจจุบันนี้
ธนูชัย ดำรงค์วานิช


home-mov.gif (3319 bytes)
หนังสืออนุสรณ์ | ภาพงานพระราชทานเพลิง | ญาติ | LINK
มีปัญหา ติ ชม แจ้งข้อบกพร่อง ที่ <pirachai@hotmail.com>
Copyright ? 2002 All rights reserved.
Revised: 20 พฤษภาคม 2002.